แต่ "ผี" ของ "ศาสนาผี" ที่ว่านี้ก็คือวิญญาณของธรรมชาติ วิญญาณของบรรพบุรุษ หรือวิญญาณของวัตถุที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
นักวิชาการทางศาสนวิทยาล้วนกล่าวตรงกันว่า ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือการนับถือ "วิญญาณ" คนยุคแรกๆ ของโลก ที่จัดว่าเป็นคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ (หรือก่อนที่จะมีการใช้ภาษาเขียนและเขียนบันทึก) ล้วนแต่นับถือวิญญาณอะไรบางอย่างกันทั้งนั้น แต่โดยภาษาชาวบ้านหรือภาษาปากของคนไทยมักเรียกวิญญาณเหล่านี้ว่า "ผี" นักวิชาการคนไทยจึงเรียกตามไปด้วยว่า “ศาสนาผี” แต่ผู้เขียนเองขอเรียกในทางวิชาการว่า "ศาสนาวิญญาณ" แต่ก็จะเรียกตามภาษาปากแบบไทยควบคู่ไปด้วยว่า "ศาสนาผี" และผู้เขียนจะใช้สองคำนี้ในความหมายเดียวกัน
"ศาสนาวิญญาณ" หรือศาสนาผีนี้ ในทางวิชาการศาสนวิทยาเรียกว่า ศาสนาประเภท "วิญญาณนิยม" ภาษาอังกฤษเรียก Animism ส่วนพวกที่นับถือผีก็จะเรียกว่า animist พื้นฐานมาจากคำว่า "anima" แปลว่า “ลมหายใจ” หรือ “วิญญาณ” (หมายเหตุ: คำว่า "ศาสนาวิญญาณนิยม" หรือ "ศาสนาผี" บางครั้งจะถูกเรียกทางวิชาการเพื่อเลี่ยงนัยของการดูถูกว่า "primitive religion" ซึ่งคงเรียกเป็นภาษาไทยว่า ศาสนาบรรพกาล ซึ่งหมายถึงศาสนาของยุคโบราณที่ล้วนมีลักษณะของ "ศาสนาวิญญาณนิยม" ทั้งนั้น)
ศาสนาวิญญาณนิยม เป็นแนวความเชื่อที่ว่า (๑) วิญญาณ (หรือผี) มีจริง ต่อมาก็เชื่อว่า (๒) วิญญาณเป็นอมตะ ต่อมาก็เชื่อว่า (๓) วิญญาณ เหล่านี้เป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่คอยรักษากฎเกณฑ์ของธรรมชาติและสังคมมนุษย์ให้เสมอภาคและยุติธรรม
นี่เป็นระบบความเชื่อดั้งเดิมของคนยุคดึกดำบรรพ์ทั่วโลกเมื่อหลายหมื่นหลายพันปีมาแล้ว และเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นมาก่อนที่มนุษย์จะได้เอาความเชื่อของตนในเรื่องนี้มาพัฒนาเป็นรูปแบบทางศาสนาในเวลาต่อมา
จากหลักฐานการค้นคว้าของนักวาการ ปรากฏว่า มนุษย์ยุคบรรพกาล (Primitive man) ซึ่งเป็นมนุษย์ยุคแรกๆ ของโลกนั้น มีความเชื่อมั่นว่า วิญญาณมีอยู่ในร่างมนุษย์ และจะไม่แตกสลาย เมื่อร่ากายได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ยุคบรรพกาลยังมีความเชื่อมั่นว่า ชีวิตของภูตผีมีจริง และมีความเชื่อว่า “ร่างกายเท่านั้นที่ตายไป ส่วยวิญญาณหาได้ตายไปไม่” คำว่า “วิญญาณนิยม” เป็นคำที่เซอร์ ไทเล่อร์ (E.B. Tylor) ใช้ในหนังสือของเขาชื่อว่า “สังคมบรรพกาล” (Primitive culture) เพื่ออธิบายจุดกำเนิดของศาสนา และความเชื่อของมนุษย์ยุคบุพกาล
สำหรับในภูมิภาคของประเทศไทยนั้น ศาสนาวิญญาณ หรือ ศาสนาผี มีมานานถึงราว 5,000 ปีมาแล้ว หรืออาจเก่ามากกว่านี้ก็ได้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนทางอีสานตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนหมู่บ้านเก่าสุด เริ่มทำกสิกรรมปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์ แล้วมีพิธีกรรมเกี่ยวกับผีเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ คนในไทยทุกวันนี้นับถือศาสนาผีปนพราหมณ์พุทธ มีศาลผี และทำพิธีทรงเจ้าเข้าผีทั่วไปทั้งประเทศ ซึ่งผู้เขียนขอเรียกศาสนาของคนไทยที่ผสมระหว่าง ผี-พราห์ม-พุทธ เช่นนี้ว่า "ศาสนาไทย"
ศาสนาไทยมีลักษณะที่เอาศาสนาผีเป็นรากฐาน แล้วรับเอาสิ่งละอันพันละน้อยของศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธ โดยเลือกเอาส่วนที่ไม่ขัดกับหลักผี เข้ามาประกอบกับศาสนาผี เพื่อให้ดูดีมีสง่าราศี ดูทันสมัย และน่าเลื่อมใสศรัทธาขึ้น
ขณะที่วิญญาณหรือผีที่ใหญ่ที่สุดของศาสนาผีทั่วไปมักจะเป็น "ผีแห่งท้องฟ้า" หรือ "ผีฟ้า" เพราะถือว่าท้องฟ้าคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ว่ากันว่า ผีใหญ่ของไทย สิงสถิตอยู่ฟ้ากับดิน มักเรียกอย่างคุ้นเคยสั้นๆว่า ผีฟ้า แต่หมายถึงฟ้าดิน และถูกจัดให้เป็นเพศหญิง
ศาสนาวิญญาณ หรือศาสนาผี ไม่ได้มีความเชื่อหยุดอยู่กับที่ แต่มีพัฒนาการด้วย พัฒนาการของศาสนาผี พัฒนาการไปอย่างนี้คือ
(๑) แรกสุดเริ่มจากศาสนาวิญญาณธรรมชาติ (หรือผีฟ้าดิน)
(๒) ต่อมาก็เชื่อว่าพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ตายไปก็กลายวิญญาณอมตะที่ยังวนเวียนอยู่ใกล้และช่วยเหลือลูกหลานที่ยังอยู่ได้ด้วย จึงพัฒนาความเชื่อเพิ่มให้มีศาสนาบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ (หรือการไหว้ผีบรรพบุรุษ)
(๓) แล้วต่อมาก็ขยายความเชื่ออีกว่า วัตถุหรือสิ่งของต่างๆ ก็มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ด้วย จึงขยายไปสู่ศาสนาของขลัง หรือศาสนาบูชาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ (คือบูชาผีที่สิงสถิตอยู่ในวัตถุต่างๆ)
(๔) ต่อมาก็ขยายเป็นศาสนาสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ (Totemism)
(๕) ต่อมาก็ขยายเป็นศาสนาหมอผี (Shamanism)
(๖) ในที่สุดก็เป็นศาสนาบูชาธรรมชาติ (Nature worship)
ลองดูรายละเอียดกัน
(๑) แรกสุดเริ่มจากศาสนาวิญญาณธรรมชาติ (หรือผีฟ้าดิน)
(๒) ต่อมาก็เชื่อว่าพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ตายไปก็กลายวิญญาณอมตะที่ยังวนเวียนอยู่ใกล้และช่วยเหลือลูกหลานที่ยังอยู่ได้ด้วย จึงพัฒนาความเชื่อเพิ่มให้มีศาสนาบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ (หรือการไหว้ผีบรรพบุรุษ)
(๓) แล้วต่อมาก็ขยายความเชื่ออีกว่า วัตถุหรือสิ่งของต่างๆ ก็มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ด้วย จึงขยายไปสู่ศาสนาของขลัง หรือศาสนาบูชาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ (คือบูชาผีที่สิงสถิตอยู่ในวัตถุต่างๆ)
(๔) ต่อมาก็ขยายเป็นศาสนาสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ (Totemism)
(๕) ต่อมาก็ขยายเป็นศาสนาหมอผี (Shamanism)
(๖) ในที่สุดก็เป็นศาสนาบูชาธรรมชาติ (Nature worship)
ศาสนาวิญญาณบรรพบุรุษ
ศาสนาผีพัฒนาต่อกลายเป็น ศาสนาผีบรรพบุรุษหรือวิญญาณบรรพบุรุษ (ancestor worship) การเคารพบรรพบุรุษเป็นการแสดงออกถึงท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อผู้ตาย ซึ่งปรากฏมีอยู่ในศาสนาและวัฒนธรรมมาตั้งแต่ยุคบุพกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน การเกิดลัทธิบูชาวิญญาณบรรพบุรุษมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของมนุษย์นั้น เป็นเพราะมนุษย์มีทัศนคติว่า ผู้มีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้วมีความสัมพันธ์กัน ความตายมิได้ทำให้ผู้นั้นหมดสภาพความเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม อาจจะเป็นครอบครัว สกุล เผ่าพันธุ์ เป็นต้น
ทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อการตายแบ่งออกได้ดังนี้
๑. ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว พร้อมๆกับไม่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะว่าความตายเป็นสภาพต่อเนื่องจากการมีชีวิตอยู่
๒. ผู้ตายไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ดังนั้นผู้ทียังมีชีวิตอยู่จะต้องจัดหาสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตให้กับผู้ตาย
๓. ผู้ตาย โดยเฉพาะการตายของหัวหน้า หรือการตายของผู้อาวุโส ซึ่งในขณะเมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้มีอำนาจมาก เมื่อถึงแก่กรรมกะมีอำนาจยิ่งกว่าเดิม เพราะมีสภาพเป็นวิญญาณที่หลุดออกไปจากกายซึ่งจะมีความคล่องตัวสูงกว่าขณะมีร่างกายประกอบ จึงสามารถช่วยเหลือหรือทำร้ายผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้น การให้ความเคารพต่อการตายของบุคคลประเภทนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
ในบางสังคมเชื่อกันอีกว่าผู้ตายไปแล้วจะกลับชาติมาเกิดใหม่ในสังคมเดิมของตน บุคคลสำคัญเมื่อตายจากไปจะกลายไปเป็นเทพเจ้า
รูปแบบของการเคารพบรรพบุรุษ
พิธีเคารพบรรพบุรุษเชื่อว่า ผู้ตายมีสภาวะใดสภาวะหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อ ๑-๕ แต่สามารถแบ่งออกได้เป็นรูปแบบหลายรูปแบบ ดังนี้
๑. การเคารพบรรพบุรุษจากทั้งชุมชน ผู้ตายอาจได้รับความเคารพจากคนทั้งกลุ่ม เช่น จากครอบครัว จากคนในตระกูลเดียวกัน จากคนทั้งเผ่า หรือจากคนทั้งประเทศ ทั้งนี้เพราะผู้ตายเมื่อมีชีวิตอยู่ เป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีคนเคารพนับถืออยู่ในชุมชนนั้นๆ โดยแสดงออกทางพิธีกรรมต่างๆ
๒. การเคารพบรรพบุรุษจากแต่ละบุคคล รูปแบบของการเคารพบรรพบุรุษที่แพร่หลายมากที่สุดได้แก่ การเคารพจากแต่ละบุคคล อย่างไรก็ดี การเคารพบรรพบุรุษแบบนี้อาจร่วมกับการเคารพบรรพบุรุษจากคนทั้งชุมชนด้วย อย่างเช่น การเคารพผู้ตายซึ่งเป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน หรือการเคารพบรรพบุรุษของกษัตริย์ของชาวอียิปต์ และการเคารพสมาชิกในตระกูลจักรพรรดิของญี่ปุ่นของคนทั้งชุมชน และของแต่ละบุคคล
ในลัทธิเคารพบรรพบุรุษมิได้ถือว่า บรรพบุรุษทุกคนมีคุณค่าต่อการเคารพโดยเท่าเทียมกัน เพราะบรรพบุรุษคนหนึ่งอาจมีอำนาจมากกว่าบรรพบุรุษอีกคนหนึ่ง เมื่อตายก็อาจจะมีแต่ญาติเท่านั้นให้ความเคารพ แต่ในบางกรณีการเคารพบรรพบุรุษของคนที่ตายไปแล้วบางคนอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของการเคารพสักการะของชุมชมอื่นๆ ไปด้วย นั้นหมายความว่า การเคารพบรรพบุรุษนั้นมีระดับที่แตกต่างกันไป
๓. บรรพบุรุษคือพระเจ้า บรรพบุรุษบางคนมีคุณสมบัติพิเศษ มีค่าต่อการเคารพบูชามาก เมื่อบรรพบุรุษเช่นนี้ตายไปแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นการจากไปแบบธรรมดา อย่างการจากไปของบุคคลทั่วๆ ไป แต่เชื่อกันว่าเป็นการจากโลกนี้ไปเป็นเทพเจ้า ซึ่งในบางกรณีวิญญาณของบรรพบุรุษอาจจะถูกเรียกมาเพื่อให้ความช่วยเหลือสังคมหรือชุมชนนั้นๆ ได้
โดยสรุป ความคิดเคารพบรรพบุรุษ เกิดขึ้นมาเพราะมนุษย์มีความเชื่อว่า วิญญาณมีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายจึงมีอยู่จริง การตายจึงเป็นเพียงการจากไปของวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่จึงควรมีความสัมพันธ์กับวิญญาณของผู้ตาย โดยการแสดงความเคารพบูชา ลัทธิบูชาบรรพบุรุษจึงเป็นปากฎการณ์เกี่ยวข้องกับลัทธิวิญญาณนิยม หรืออาจกล่าวได้ว่า ลัทธิวิญญาณนิยม ปูทางให้เกิดลัทธิบูชาเคารพบรรพบุรุษ และจากลัทธิเคารพบูชาบรรพบุรุษจึงมีศาสนพิธีให้กับผู้ตาย จะเห็นว่า เมื่อมีระบบศาสนาที่ชัดเจน เช่น ศาสนาพุทธ พราหมณ์-ฮินดู ขงจื้อ เป็นต้น ลิทธิเคารพบูชาบรรพบุรุษก็ได้แฝงตัวอยู่ในพิธีกรรมทาศาสนาให้กับผู้ตายตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ศาสนาของขลัง
ศาสนาวิญญาณได้พัฒนาไปสู่การเป็นศาสนาของขลัง หรือศาสนาบูชาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ (คือบูชาผีที่สิงสถิตอยู่ในวัตถุต่างๆ) ภาษาเทคนิคเรียกว่า Fetishism คำว่า Fetish มาจากคำว่า Feitico ในภาษาโปรตุเกส ต่อมาชาวยุโรปในศตวรรษที่ ๑๕ ใช้คำว่า Fetish หมายถึง เวทมนต์ คาถา อาคม ที่มีอยู่ในเครื่องราของขลัง ดังนั้น คำว่า Fetishism จึงหมายถึงศาสนาหรือลัทธิที่บูชาวัตถุที่ถือเป็นของขลังหรือของศักดิ์สิทธิ์
ศาสนาบูชาของขลังเป็นผลสืบเนื่องต่อจากความเชื่อว่า วิญญาณมีอยู่จริง ต่อมาก็เลยมีความเชื่อว่า มีวิญญาณอยู่ในวัตถุต่างๆ
ศาสนาบูชาของขลังเป็นผลสืบเนื่องต่อจากความเชื่อว่า วิญญาณมีอยู่จริง ต่อมาก็เลยมีความเชื่อว่า มีวิญญาณอยู่ในวัตถุต่างๆ
อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ความเชื่อของชาวแอฟริกาที่ว่า วัตถุต่างๆ อย่างเช่นเครื่องรางของขลัง มีอำนาจศักดิ์อยู่มิได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณ หากแต่เชื่อว่า “มีพลังชีวิต” อยู่ในนั้น
ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังปรากฏมีอยู่ทั่วไปในสังคมยุคบุพกาล และแอบแฝงเข้ามาอยู่ในความเชื่อและพิธีการของศาสนาที่มีลักษณะก้าวหน้าอย่างศาสนาชั้นสูงในปัจจุบันในรูปของวัตถุ เช่น การเชื่อว่า ผ้ายันต์ ตระกุด มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้น ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับวิญญาณนิยม จึงยังคงมีอิทธิพลอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์พอ ๆ กับเรื่องวิญญาณนิยมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
คำว่า ลัทธิโทเทม (Totemism) เป็นคำใช้เพื่ออธิบายลักษณะสำคัญในศาสนา และองค์กรทางสังคมของประชาชนยุคบุพกาลหลายแห่งด้วยกัน คำว่า โทเทม (Totem) มาจากคำว่า Ototeman ซึ่งเป็นภาษาชาวอินเดียแดงเผ่า Ojibwa ซึ่งอยู่บริเวณทะเลสาบ Great lake ทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ เดิมทีคำว่า โทเทม หมายถึง “ความเป็นพี่น้อง พี่ชาย น้องสาว” ซึ่งหมายถึงสัมพันธภาพทางสายเลือดระหว่างพี่ชาย และน้องสาว ซึ่งมีมารดาคนเดียวกัน จึงสมรสกันไม่ได้
ความเชื่อแบบโทเทม เป็นแนวความเชื่อที่ว่า มนุษย์มีความเป็นญาติพี่น้องอยู่กับโทเทม หรือมีความสัมพันธ์ลึกลับอยู่ระหว่างกลุ่มบุคคลหรือแต่ละบุคคลกับโทเทม โทเทม คือ สิ่งเช่นสัตว์หรือต้นไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์อยู่กับสิ่งนั้น
คำนี้เข้ามาสู่ยุโรปเมื่อ ค.ศ. ๑๗๙๑ โดยพ่อค้าชาวอังกฤษ และแปลคำ โทเทม ว่า ความเชื่อว่ามีวิญญาณปกป้องคุ้มกันในแต่ละบุคคล และวิญญาณนี้ปรากฏออกมาในรูปของสัตว์ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ชาวอินเดียเผ่าโอจิวาได้แสดงออกด้วยเครื่องนุ่งห่มที่ทำด้วยหนังสัตว์ นักวิชาการได้ให้คำนิยามคำว่า โทเทม ไว้อย่างกว้างขวาง ลัทธิโทเทม จึงเป็นแนวความคิดที่ซับซ้อนและมีหลายรูปแบบรวมทั้งยังมีวิถีทางพฤติกรรม ซึ่งวางรากฐานจากการมองโลกทัศน์จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีความสัมพันธ์ภาพทางด้านอุดมการณ์ ความเร้นลับทางอารมณ์ ความเคารพยำเกรงและทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มทางสังคมหรือบุคคลหนึ่งกับสัตว์หรือวัตถุทางธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า โทเทม
ลัทธินับถือธรรมชาติ เป็นลัทธิที่ถือว่า อำนาจหรือพลังมีอยู่ในธรรมชาติซึ่งได้รับการเคารพนับถือหรือความเกรงกลัว พลังชนิดนี้ เรียกว่า “มานา” (Mana) คำว่า “มานา” เป็นคำของชาวโพลินีเซีย (Polynesian) และชาวเมลานีเซีย (Melanesian) ซึ่งนักโบราณคดีชาวตะวันตกในศตวรรษที่๑๙ เอามาใช้เพื่อหมายถึงความเชื่อในอำนาจของธรรมชาติในสังคมของมนุษย์ยุคบุพกาล บางครั้งคำว่า มานา หมายถึง “อำนาจไม่มีตัวตน” หรือ “อำนาจเหนือธรรมชาติ” หรือ “พลังอันยิ่งใหญ่” แต่บางครั้งก็ว่า มานาเป็นอำนาจที่ออกมาจากบุคคล หรือบุคคลรับเอามานามาใช้
การเคารพอำนาจเหนือธรรมชาตินี้แสดงออกกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมากมาย เช่น เกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในฐานะเป็นเทพหรือพระอาทิตย์ในฐานะที่เป็นเทพเจ้า สุริยคราสและจันทรคราส ดวงดาวและกลุ่มดวงดาว เช่น ดาวศุกร์ (Venus) และกลุ่มดาวลูกไก่ เป็นต้น ส่วนการบูชาธรรมชาติอื่นๆ ก็เช่น การบูชาไฟในอารยธรรมต่างๆ
ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
(อ่านต่อ "จากศาสนาผี สู่ศาสนาเทพ")
ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังปรากฏมีอยู่ทั่วไปในสังคมยุคบุพกาล และแอบแฝงเข้ามาอยู่ในความเชื่อและพิธีการของศาสนาที่มีลักษณะก้าวหน้าอย่างศาสนาชั้นสูงในปัจจุบันในรูปของวัตถุ เช่น การเชื่อว่า ผ้ายันต์ ตระกุด มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้น ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับวิญญาณนิยม จึงยังคงมีอิทธิพลอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์พอ ๆ กับเรื่องวิญญาณนิยมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ศาสนาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์
คำว่า ลัทธิโทเทม (Totemism) เป็นคำใช้เพื่ออธิบายลักษณะสำคัญในศาสนา และองค์กรทางสังคมของประชาชนยุคบุพกาลหลายแห่งด้วยกัน คำว่า โทเทม (Totem) มาจากคำว่า Ototeman ซึ่งเป็นภาษาชาวอินเดียแดงเผ่า Ojibwa ซึ่งอยู่บริเวณทะเลสาบ Great lake ทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ เดิมทีคำว่า โทเทม หมายถึง “ความเป็นพี่น้อง พี่ชาย น้องสาว” ซึ่งหมายถึงสัมพันธภาพทางสายเลือดระหว่างพี่ชาย และน้องสาว ซึ่งมีมารดาคนเดียวกัน จึงสมรสกันไม่ได้
ความเชื่อแบบโทเทม เป็นแนวความเชื่อที่ว่า มนุษย์มีความเป็นญาติพี่น้องอยู่กับโทเทม หรือมีความสัมพันธ์ลึกลับอยู่ระหว่างกลุ่มบุคคลหรือแต่ละบุคคลกับโทเทม โทเทม คือ สิ่งเช่นสัตว์หรือต้นไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์อยู่กับสิ่งนั้น
คำนี้เข้ามาสู่ยุโรปเมื่อ ค.ศ. ๑๗๙๑ โดยพ่อค้าชาวอังกฤษ และแปลคำ โทเทม ว่า ความเชื่อว่ามีวิญญาณปกป้องคุ้มกันในแต่ละบุคคล และวิญญาณนี้ปรากฏออกมาในรูปของสัตว์ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ชาวอินเดียเผ่าโอจิวาได้แสดงออกด้วยเครื่องนุ่งห่มที่ทำด้วยหนังสัตว์ นักวิชาการได้ให้คำนิยามคำว่า โทเทม ไว้อย่างกว้างขวาง ลัทธิโทเทม จึงเป็นแนวความคิดที่ซับซ้อนและมีหลายรูปแบบรวมทั้งยังมีวิถีทางพฤติกรรม ซึ่งวางรากฐานจากการมองโลกทัศน์จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีความสัมพันธ์ภาพทางด้านอุดมการณ์ ความเร้นลับทางอารมณ์ ความเคารพยำเกรงและทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มทางสังคมหรือบุคคลหนึ่งกับสัตว์หรือวัตถุทางธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า โทเทม
แต่โดยทั่วไปลัทธิโทเทมประกอบด้วยลักษณะดังนี้ คือ ๑. โทเทม คือ เพื่อน ญาติ ผู้ปกครองป้องกัน บรรพชน หรือผู้ให้ความช่วยเหลือมีอำนาจและความสามารถเหนือมนุษย์ เหล่านี้จะเรียกว่า โทเทม และสิ่งใดที่เป็นโทเทมนั้นไม่เพียงแต่ต้องแสดงความเคารพด้วยความคารวะเท่านั้น แต่โทเทมจะกลายเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัวรวมอยู่ด้วย ๒. ใช้ชื่อและตราพิเศษเป็นโทเทม ๓. มีสัญลักษณ์ของโทเทม ๔. มีการห้ามการฆ่า การกิน หรือแตะต้องโทเทม ๕. มีพิธีกรรมให้กับโทเทม
ในบางกรณีลัทธิโทเทมก็มีพื้นฐานทางศาสนารวมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย เช่น ลัทธิโทเทมปรากฎรวมอยู่กับการใช้เวทมนต์คาถา และลัทธิโทเทมมักจะมีความเชื่ออื่นๆ เข้ามาผสมผสานรวมอยู่ด้วย อาทิ พิธีเคารพบูชาบรรพบุรุษ ความคิดในเรื่องวิญญาณความเชื่อในเรื่องอำนาจและวิญญาณ
ผู้เขียนขออธิบายศาสนาผีแบบศาสนาประเภทโทเท็มเป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่า ก็เหมือนกับที่ ชนบางเผ่าบูชานกอินทรีย์ บูชาวัว บางเผ่าบูชางู บางเผ่าบูชาต้นไม้บางอย่าง อะไรทำนองนี้
ลัทธิโทเทมอาจจะแบ่งออกได้เป็นแบบ โทเทมของกลุ่มบุคคล และโทเทมเฉพาะบุคคล แบบกลุ่มบุคคล (Group Totemism) เป็นรูปแบบที่แพร่หลายที่สุด ซึ่งอาจจะมีลักษณะเช่น มีตราสัญลักษณ์ และกฎต้องห้าม ปัจจุบันลัทธิความคิดแบบโทเทมยังแพร่หลายอยู่ในแอฟริกา อินเดีย โอเซียเนีย อเมริกาเหนือ เป็นต้น ส่วนโทเทมเฉพาะบุคคล (Individual Totemism) ส่วนมากมีอยู่ในกลุ่มนักล่าสัตว์ กลุ่มชนทำเกษตรกรรม และยังพบในหมู่นักเลี้ยงสัตว์ด้วย ลัทธิความคิดประเภทนี้มีแพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย
สรุป ลัทธิโทเทม มีลักษณะของการเคารพสัตว์ หรือพืชในลัทธิโทเทม นักวิชาการได้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ โทเทมส่วนบุคคล และโทเทมของกลุ่มชน ลัทธิโทเทมที่สำคัญและมีความนิยมกันนั้น ก็คือ โทเทมประเภทกลุ่มชน ซึ่งมีความเชื่อตามชื่อของสัตว์พันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นพืชชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ หรือต้นไม้ ก็ได้ และสัตว์ พืช ต้นไม้ที่เป็นโทเทมของกลุ่มบุคคลนั้นก็จะถูกห้ามนำมากินหรือต้น และที่สำคัญก็คือ พิธีกรรมทาลัทธิโทเทมแสดงออกซึ่งสัมพันธภาพทางศาสนา เวทมนต์ คาถา กับสัตว์และพิธีกรรมของลัทธิโทเทมอาจมีการเซ่นสังเวยและการให้อาหารสัตว์รวมอยู่ด้วย แต่ลัทธิโทเทมก็มีรากฐานของความเชื่อในเรื่องวิญญาณอยู่ด้วย
คำว่า Shamanism มาจากคำว่า Saman ในภาษาตังกุส (Tungustic) ซึ่งแปลว่า “พระหมอยา” ลัทธิซาแมนเป็นลัทธิความเชื่อที่เก่าแก่ของประชากรที่อาศัยอยู่ในอูราอัลไต ในเอเชียเหนือ ในบริเวณเทือกเขาอัลไตตั้งแต่บริเวณแลปป์แลนด์ (Lappland) ทางทิศตะวันตก ไปจนถึงบริเวณช่องแคบแบริ่ง (Bering Straits)
แต่เดิมลัทธิซาแมน เป็นศาสนาวัฒนธรรมของชนชาติร่อนเร่ล่าสัตว์เป็นอาหาร คือ ชาวเอเชียโบราณ แก่นสาระสำคัญของลัทธินี้ก็คือ การติดต่อกับวิญญาณ ฉะนั้น ลัทธิซาแมนจึงวางรากฐานอยู่ในเรื่องวิญญาณนิยม แต่มีพื้นฐานสูงกว่า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ได้รับเอาวิญญาณนิยมมาเป็นพื้นฐาน แนวความคิดซาแมนจึงเริ่มต้นหาทางติดต่อกับวิญญาณ และที่ผู้ทำที่หน้าที่ติดต่อกับวิญญาณเรียกว่า “ซาแมน” (shaman) หมายถึงพระหมอผู้วิเศษ หรือที่ท้องถิ่นไทยมักเรียกกันว่า "หมอผี" นั่นเอง
ลัทธิความเชื่อนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องการมีชีวิตต่อเนื่องของทุกดวงวิญญาณหลังจากร่างกายดับสิ้นไปแล้ว ความเชื่อเช่นนี้ เป็นรากฐานของการทำให้เกิดลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (Ancestor worship) ขึ้นมาอีก
การมีพระหมอผีผู้วิเศษ หรือซาแมนถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการมีพระผู้ทำหน้าที่รักษาความเชื่อของแต่ละศาสนาไว้ไม่ให้สูญสิ้น เป็นการดำรงไว้ของศาสนาทุกศาสนาในเวลาต่อมา และซาแมนในฐานะเป็นนักบวช นอกจากจะมีหน้าที่ทำการติดต่อกับโลกของวิญญาณแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหน้าที่ในการทำพิธีบูชายัญ ทำนายโชคชะตาและรักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย และบางทีก็ถึงขั้นเป็นร่างทรงของวิญญาณต่างๆ ได้ด้วย
ในบางกรณีลัทธิโทเทมก็มีพื้นฐานทางศาสนารวมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย เช่น ลัทธิโทเทมปรากฎรวมอยู่กับการใช้เวทมนต์คาถา และลัทธิโทเทมมักจะมีความเชื่ออื่นๆ เข้ามาผสมผสานรวมอยู่ด้วย อาทิ พิธีเคารพบูชาบรรพบุรุษ ความคิดในเรื่องวิญญาณความเชื่อในเรื่องอำนาจและวิญญาณ
ผู้เขียนขออธิบายศาสนาผีแบบศาสนาประเภทโทเท็มเป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่า ก็เหมือนกับที่ ชนบางเผ่าบูชานกอินทรีย์ บูชาวัว บางเผ่าบูชางู บางเผ่าบูชาต้นไม้บางอย่าง อะไรทำนองนี้
ลัทธิโทเทมอาจจะแบ่งออกได้เป็นแบบ โทเทมของกลุ่มบุคคล และโทเทมเฉพาะบุคคล แบบกลุ่มบุคคล (Group Totemism) เป็นรูปแบบที่แพร่หลายที่สุด ซึ่งอาจจะมีลักษณะเช่น มีตราสัญลักษณ์ และกฎต้องห้าม ปัจจุบันลัทธิความคิดแบบโทเทมยังแพร่หลายอยู่ในแอฟริกา อินเดีย โอเซียเนีย อเมริกาเหนือ เป็นต้น ส่วนโทเทมเฉพาะบุคคล (Individual Totemism) ส่วนมากมีอยู่ในกลุ่มนักล่าสัตว์ กลุ่มชนทำเกษตรกรรม และยังพบในหมู่นักเลี้ยงสัตว์ด้วย ลัทธิความคิดประเภทนี้มีแพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย
สรุป ลัทธิโทเทม มีลักษณะของการเคารพสัตว์ หรือพืชในลัทธิโทเทม นักวิชาการได้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ โทเทมส่วนบุคคล และโทเทมของกลุ่มชน ลัทธิโทเทมที่สำคัญและมีความนิยมกันนั้น ก็คือ โทเทมประเภทกลุ่มชน ซึ่งมีความเชื่อตามชื่อของสัตว์พันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นพืชชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ หรือต้นไม้ ก็ได้ และสัตว์ พืช ต้นไม้ที่เป็นโทเทมของกลุ่มบุคคลนั้นก็จะถูกห้ามนำมากินหรือต้น และที่สำคัญก็คือ พิธีกรรมทาลัทธิโทเทมแสดงออกซึ่งสัมพันธภาพทางศาสนา เวทมนต์ คาถา กับสัตว์และพิธีกรรมของลัทธิโทเทมอาจมีการเซ่นสังเวยและการให้อาหารสัตว์รวมอยู่ด้วย แต่ลัทธิโทเทมก็มีรากฐานของความเชื่อในเรื่องวิญญาณอยู่ด้วย
ศาสนาหมอผี หรือซาแมน (Shamanism)
คำว่า Shamanism มาจากคำว่า Saman ในภาษาตังกุส (Tungustic) ซึ่งแปลว่า “พระหมอยา” ลัทธิซาแมนเป็นลัทธิความเชื่อที่เก่าแก่ของประชากรที่อาศัยอยู่ในอูราอัลไต ในเอเชียเหนือ ในบริเวณเทือกเขาอัลไตตั้งแต่บริเวณแลปป์แลนด์ (Lappland) ทางทิศตะวันตก ไปจนถึงบริเวณช่องแคบแบริ่ง (Bering Straits)
แต่เดิมลัทธิซาแมน เป็นศาสนาวัฒนธรรมของชนชาติร่อนเร่ล่าสัตว์เป็นอาหาร คือ ชาวเอเชียโบราณ แก่นสาระสำคัญของลัทธินี้ก็คือ การติดต่อกับวิญญาณ ฉะนั้น ลัทธิซาแมนจึงวางรากฐานอยู่ในเรื่องวิญญาณนิยม แต่มีพื้นฐานสูงกว่า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ได้รับเอาวิญญาณนิยมมาเป็นพื้นฐาน แนวความคิดซาแมนจึงเริ่มต้นหาทางติดต่อกับวิญญาณ และที่ผู้ทำที่หน้าที่ติดต่อกับวิญญาณเรียกว่า “ซาแมน” (shaman) หมายถึงพระหมอผู้วิเศษ หรือที่ท้องถิ่นไทยมักเรียกกันว่า "หมอผี" นั่นเอง
ลัทธิความเชื่อนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องการมีชีวิตต่อเนื่องของทุกดวงวิญญาณหลังจากร่างกายดับสิ้นไปแล้ว ความเชื่อเช่นนี้ เป็นรากฐานของการทำให้เกิดลัทธิบูชาบรรพบุรุษ (Ancestor worship) ขึ้นมาอีก
การมีพระหมอผีผู้วิเศษ หรือซาแมนถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการมีพระผู้ทำหน้าที่รักษาความเชื่อของแต่ละศาสนาไว้ไม่ให้สูญสิ้น เป็นการดำรงไว้ของศาสนาทุกศาสนาในเวลาต่อมา และซาแมนในฐานะเป็นนักบวช นอกจากจะมีหน้าที่ทำการติดต่อกับโลกของวิญญาณแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหน้าที่ในการทำพิธีบูชายัญ ทำนายโชคชะตาและรักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย และบางทีก็ถึงขั้นเป็นร่างทรงของวิญญาณต่างๆ ได้ด้วย
ศาสนาบูชาธรรมชาติ (Nature Worship)
ลัทธินับถือธรรมชาติ เป็นลัทธิที่ถือว่า อำนาจหรือพลังมีอยู่ในธรรมชาติซึ่งได้รับการเคารพนับถือหรือความเกรงกลัว พลังชนิดนี้ เรียกว่า “มานา” (Mana) คำว่า “มานา” เป็นคำของชาวโพลินีเซีย (Polynesian) และชาวเมลานีเซีย (Melanesian) ซึ่งนักโบราณคดีชาวตะวันตกในศตวรรษที่๑๙ เอามาใช้เพื่อหมายถึงความเชื่อในอำนาจของธรรมชาติในสังคมของมนุษย์ยุคบุพกาล บางครั้งคำว่า มานา หมายถึง “อำนาจไม่มีตัวตน” หรือ “อำนาจเหนือธรรมชาติ” หรือ “พลังอันยิ่งใหญ่” แต่บางครั้งก็ว่า มานาเป็นอำนาจที่ออกมาจากบุคคล หรือบุคคลรับเอามานามาใช้
การเคารพอำนาจเหนือธรรมชาตินี้แสดงออกกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมากมาย เช่น เกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในฐานะเป็นเทพหรือพระอาทิตย์ในฐานะที่เป็นเทพเจ้า สุริยคราสและจันทรคราส ดวงดาวและกลุ่มดวงดาว เช่น ดาวศุกร์ (Venus) และกลุ่มดาวลูกไก่ เป็นต้น ส่วนการบูชาธรรมชาติอื่นๆ ก็เช่น การบูชาไฟในอารยธรรมต่างๆ
ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
(อ่านต่อ "จากศาสนาผี สู่ศาสนาเทพ")
ขอบคุณท่าน ดร ที่ ค้นคว้า เรียบเรียง และแบ่งปันอย่างลุ่มลึก
ตอบลบยินดีหลายๆครับอาจารย์
ตอบลบ