รัฐทุกรัฐย่อมต้องมีกฎหมาย และกฎหมายย่อมต้องตั้งอยู่บนกฎจริยธรรม แต่การที่รัฐแต่ละรัฐมีหลักจริยธรรมที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ก็ทำให้แนวคิดในการบัญญัติกฎหมายหมายจึงต่างกันไปด้วย
รัฐที่เป็นรัฐศาสนา หรือรัฐที่มีการระบุศาสนาประจำชาติ หรือรัฐที่อิงศาสนาใดมาก การบัญญัติกฎหมายก็ต้องโน้มเอียงไปในทางการปกป้องศาสนานั้น และควบคุมสังคมให้ทำตามคำสอนของศาสนานั้น
ตัวอย่างเช่น กฎหมายของประเทศที่เป็นรัฐอิสลามหลายประเทศ จะมีกฎหมายที่ห้ามดูหมิ่นศาสนาอิสลาม ศาสดา และคัมภีร์อัลกุรอาน รวมทั้งจะมีกฎหมายห้ามในสิ่งที่คัมภีร์ศาสนาระบุว่าเป็นเรื่องต้องห้าม เช่น ห้ามการไม่นับถือศาสนา ห้ามมีรูปเคารพรูปปฏิมาไม่ว่าจะของศาสนาใด ห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ห้ามมีสัมพันธ์กับคู่รักก่อนแต่งงาน ห้ามสตรีไปในที่สาธารณะโดยไม่คลุมศีรษะ อย่างนี้เป็นต้น
หรือในประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติบางประเทศ ก็จะระบุในรัฐธรรมนูญว่า ประมุขของประเทศจะต้องนับถือศาสนาพุทธเท่านั้น หรือห้ามผู้ใดแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ หรือห้ามดื่มสุราใกล้เขตศาสนสถาน หรือห้ามขายเนื้อสัตว์หรือขายสุราในวันสำคัญทางศาสนา เป็นต้น
หรืออย่างน้อยที่สุด ประเทศที่อิงศาสนามาก ถึงแม้ไม่อิงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ก็จะอิงกับวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากบางศาสนาพอสมควร ตัวอย่างเช่น ห้ามวิจารณ์ศาสนา ซึ่งก็มักหมายถึงศาสนาที่มีผู้นับถือในสังคมนั้นมากๆ หรืออย่างเช่น ห้ามแต่งกายที่ผิดต่อวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนา เช่น ห้ามแต่งกายที่มีลักษณะข้ามเพศ ห้ามสักหรือเจาะร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น
นั่นคือ...รัฐโลกวิสัยจะออกกฎหมายโดยไม่ใช้คำสอนทางศาสนาหรือวัฒนธรรมที่อิงศาสนามาเป็นรากฐานหรือไม่นำมาประกอบการพิจารณาเลย
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วถ้าอย่างนั้นจะใช้หลักการอะไรล่ะ? บรรทัดฐานของจริยธรรมของรัฐโลกวิสัย มีหลักการหลายประการประกอบกัน
หลักการแรกสุดคือ เสรีภาพ ในขณะที่รัฐศาสนาจะพยายามควบคุมประชาชนไม่ให้มีลักษณะ "สุขนิยม" และ "ตามใจตนเอง" มากเกินไป แต่รัฐโลกวิสัยจะพยายามให้ประชาชนของรัฐมีสิทธิเสรีภาพมากที่สุด จะรักษาสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ และแม้แต่ในการหาความสุขก็เปิดโอกาสให้แสวงหาได้เต็มที่ จะพยายามไม่ควบคุมการกระทำ คำพูดและความคิด จะห้ามเฉพาะในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น และจะไม่เอากฎศีลธรรมเชิงศาสนามาควบคุม ตัวอย่างเช่น กฎหมายของรัฐโลกวิสัยจะไม่บัญญัติให้การล่วงประเวณีตามความหมายของศาสนา มาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีพิธีสมรส การนอกใจ หรือการรักเพศเดียวกัน หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือปาก
แน่นอนว่า รัฐโลกวิสัยจะเน้นการให้สิทธิเสรีภาพในเรื่องศาสนาอย่างมาก จะไม่มีการบัญญัติศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติหรือศาสนาที่ได้รับอภิสิทธิ์ ประชาชนมีเสรีภาพเต็มที่ในการนับถือศาสนา ทำพิธีศาสนา ประกาศศาสนา เปลี่ยนศาสนา แยกนิกายศาสนา ตั้งศาสนา ไม่นับถือศาสนา จนถึงการวิจารณ์ศาสนา
หลักประการที่สองคือ ความเสมอภาค หลักการเสรีภาพและเสมอภาคต้องไปด้วยกันเสมอในรัฐโลกวิสัย เพราะหากให้เสรีภาพแต่ไม่มีความเสมอภาค ก็ย่อมจะทำให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ซึ่งความอยุติธรรมก็ย่อมจะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิและความวุ่นวายในที่สุด
และความเสมอภาคที่ว่านี้คือต้องให้ความเสมอภาคทางศาสนากับประชาชนทุกคน ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ไม่เอาแนวทางของศาสนาใดมามีอภิสิทธิ์เหนือศาสนาอื่น
และความเสมอภาคที่ว่านี้คือต้องให้ความเสมอภาคทางศาสนากับประชาชนทุกคน ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ไม่เอาแนวทางของศาสนาใดมามีอภิสิทธิ์เหนือศาสนาอื่น
ประการที่สามคือ หลักแห่งประโยชน์สุขของส่วนรวม แม้ว่ารัฐโลกวิสัยจะเน้นการห้เสรีภาพของปัจเจกบุคคลมาก แต่ก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมร่วมด้วย เพราะหากสังคมส่วนรวมดำรงอยู่ไม่ได้ ปัจเจกบุคคลก็ย่อมต้องทุกข์ยากเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นแก่ประโยชน์สุขของสังคมมากเสียจนยอมละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสังคม แต่ทั้งสองสิ่งต้องสมดุลกัน
หลักประโยชน์สุขอันนี้ก็คือหลัก "ประโยชน์นิยม" นั่นเอง คือ "สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ต่อคนจำนวนมากที่สุด สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" และแน่นอนว่า ในแต่ละสถานการณ์ ความเป็นประโยชน์ที่สุดต่อคนหมู่มากที่สุดอาจไม่เหมือนกันเสมอไป ความถูกผิดก็จะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ด้วย
หลักประโยชน์สุขอันนี้ก็คือหลัก "ประโยชน์นิยม" นั่นเอง คือ "สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ต่อคนจำนวนมากที่สุด สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" และแน่นอนว่า ในแต่ละสถานการณ์ ความเป็นประโยชน์ที่สุดต่อคนหมู่มากที่สุดอาจไม่เหมือนกันเสมอไป ความถูกผิดก็จะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ด้วย
หลักประการที่สี่ คือ ยึดเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย เรื่องนี้เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญมากสำหรับรัฐโลกวิสัย เนื่องจากการออกกฎหมายที่อิงหลักศาสนามักจะอิงจากคำสอนของคัมภีร์ศาสนาซึ่งหลายเรื่องก็ไม่อาจพิสูจน์ความจริงในเชิงวิทยาศาสตร์ได้่ หรือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจะส่งผลเสียจริงตามที่ศาสนาบอกหรือไม่ หรือยังเป็นความจริงในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่หรือไม่
"เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย" ที่ว่านี้ หมายถึงการพยายามใช้เหตุผลที่เป็นความจริงอันสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนจนสิ้นสงสัย โดยไม่ต้องใช้ความเชื่อหรือการคาดเดา ซึ่งอาจเกิดจากการมีหลักฐาน หรือมีการทดลองแบบวิทยาศาสตร์หรือการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือมีเหตุผลที่ชอบด้วยตรรกะ นอกจากนั้นยังต้องเป็นความจริงร่วมสมัย คือเป็นความจริงที่เป็น "ปัจจุบัน" นั่นคือต้องเป็นความจริงล่าสุดที่มีการค้นพบ ไม่ใช่ย้อนไปยึดถือความจริงเก่าที่ล้าสมัยไปแล้ว
ในรัฐโลกวิสัย การจะออกกฎหมายห้ามอะไร ต้องสามารถพิสูจน์ความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้ว่า สิ่งนั้นส่งผลร้ายต่อบุคคลและสังคมอย่างแท้จริงๆ ไม่ใช่อ้างว่าเพราะศาสนาบอกว่าอย่างนั้น หรือมีวัฒนธรรมที่เชื่อตามกันมาอย่างนั้น ตัวอย่างเช่น กฎหมายของรัฐศาสนาอย่างมาเลเซีย ที่ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก แน่นอนว่ากฎหมายดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บนคำสอนและวัฒนธรรมของบางศาสนาอย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็มีการให้เหตุผลประกอบที่ไม่ใช่เหตุผลทางศาสนาด้วยว่า เพราะการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิต โรคติดต่อ โรคทางพันธุกรรม โรคจิตประสาท หรือทำให้เกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมทางเพศ หรือแม้แต่จะทำให้เกิดภัยพิบัติทางสังคม กรณีเช่นนี้ หากเป็นกรณีของรัฐโลกวิสัย จะต้องไม่พิจารณาโดยเอาแง่มุมของคำสอนและวัฒนธรรมทางศาสนามาเป็นประเด็นพิจารณาอย่างสิ้นเชิง แต่ต้องใช้ความรู้ที่เป็น "ความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย" มาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า เป็นความจริงตามนั้นหรือไม่ หากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง ก็ออกกฎหมายห้ามการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก แต่ถ้าความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้อง "ไม่ห้าม" การกระทำดังกล่าว
ซึ่งแน่นอนว่า ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
ในรัฐโลกวิสัย การจะออกกฎหมายห้ามอะไร ต้องสามารถพิสูจน์ความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้ว่า สิ่งนั้นส่งผลร้ายต่อบุคคลและสังคมอย่างแท้จริงๆ ไม่ใช่อ้างว่าเพราะศาสนาบอกว่าอย่างนั้น หรือมีวัฒนธรรมที่เชื่อตามกันมาอย่างนั้น ตัวอย่างเช่น กฎหมายของรัฐศาสนาอย่างมาเลเซีย ที่ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก แน่นอนว่ากฎหมายดังกล่าวนี้ตั้งอยู่บนคำสอนและวัฒนธรรมของบางศาสนาอย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็มีการให้เหตุผลประกอบที่ไม่ใช่เหตุผลทางศาสนาด้วยว่า เพราะการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิต โรคติดต่อ โรคทางพันธุกรรม โรคจิตประสาท หรือทำให้เกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมทางเพศ หรือแม้แต่จะทำให้เกิดภัยพิบัติทางสังคม กรณีเช่นนี้ หากเป็นกรณีของรัฐโลกวิสัย จะต้องไม่พิจารณาโดยเอาแง่มุมของคำสอนและวัฒนธรรมทางศาสนามาเป็นประเด็นพิจารณาอย่างสิ้นเชิง แต่ต้องใช้ความรู้ที่เป็น "ความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย" มาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า เป็นความจริงตามนั้นหรือไม่ หากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง ก็ออกกฎหมายห้ามการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก แต่ถ้าความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้อง "ไม่ห้าม" การกระทำดังกล่าว
ซึ่งแน่นอนว่า ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
หลักประการสุดท้ายคือ เสียงส่วนใหญ่ของพลเมือง จริยธรรมของรัฐโลกวิสัยย่อมจะยอมรับมติแห่งเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ในสถานการณ์ที่ยึดหลักสามประการแรกแล้วและไม่อาจหาความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ปัจจุบันสนับสนุนได้ การตัดสินด้วยประชามติของพลเมือง อาจแสดงออกด้วยการทำประชาพิจารณ์ ประชามติ หรือการเลือกตั้งที่มีการชูนโยบายที่ชัดเจน นี่ก็ถือว่าเป็นสิทธิอำนาจอันสำคัญในการกำหนดกฎหมายเช่นกัน
มิใช่ใช้แนวทางของศาสนาหรือวัฒนธรรมประเพณีที่อิงศาสนา ซึ่งศาสนา "ส่วนใหญ่" นั้น มักยึดหลักการที่อยู่ในยุคโบราณ และมักยึดถือตามคัมภีร์ตามตัวอักษรอย่างตายตัว และไม่ยึดหยุ่น
หลักการเดียวกันนี้ก็ใช้พิจารณาในเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การสูบกัญชา การมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ จนถึงการรักเพศเดียวกัน การแต่งกาย การเล่นการพนัน โสเภณี และอื่นๆ อีกมากมาย
หลักจริยธรรมทั้ง ๕ นี้มีผลทำให้หลักจริยธรรมแห่งรัฐโลกวิสัยมีลักษณะ "สัมพัทธ์" ไม่ใช่ "สัมบูรณ์" คือ ไม่ยึดหลักเกณฑ์ถูกผิดตายตัวตลอดเวลา หลักเกณฑ์ถูกผิดสามารถผันแปรตามเงื่อนไขของแต่ละสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ยังไม่เพียงเท่านั้น จริยธรรมแบบรัฐโลกวิสัยที่นำไปสู่การกำหนดกฎหมายแบบรัฐโลกวิสัย ยังรวมไปถึงว่า การกำหนดโทษความผิดต่างๆ แบบรัฐโลกวิสัยก็จะแตกต่างจากรัฐศาสนาด้วย รัฐศาสนาหลายแห่งใช้วิธีการลงโทษความผิดตามที่คำสอนทางศาสนาที่มีมาแต่โบราณกำหนดไว้ ซึ่งวิธีลงโทษก็มักจะรุนแรง ป่าเถื่อน ด้วยเหตุผลตามสภาพการณ์ของยุคสมัยโบราณนั้นๆ เช่น ลงโทษรุนแรงและทำในที่สาธารณะ ก็เพื่อให้ทั้งสังคมร่วมรับรู้และหวาดกลัวจะได้ไม่มีใครกล้าเอาเยี่ยงอย่าง หรือที่ต้องประหารชีวิตแทนที่จะจำคุก ก็เนื่องจากยุคสมัยนั้นไม่มีเรือนจำมากพอ หรือไม่มีงบประมาณสำหรับเลี้ยงดูนักโทษ จึงต้องใช้การประหารชีวิตอย่างเดียว แต่จริยธรรมของรัฐโลกวิสัยทำให้ต้องกำหนดบทลงโทษทางกฎหมายให้มีเหตุผลและเหมาะสมกับยุคสมัย
ขอสรุปหลักการทั้งหมดนี้เป็นถ้อยคำสั้นๆว่า
"หลักจริยธรรมของรัฐโลกวิสัย คือ การมุ่งให้ประชาชนมีเสรีภาพให้มากที่สุด พร้อมกับความเสมอภาค ตราบเท่าที่ไม่กระทบประโยชน์สุขส่วนรวม โดยยึดเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย และทำตามเสียงส่วนใหญ่ของพลเมือง โดยไม่คำนึงถึงหลักการของศาสนาใดๆ"
ยังไม่เพียงเท่านั้น จริยธรรมแบบรัฐโลกวิสัยที่นำไปสู่การกำหนดกฎหมายแบบรัฐโลกวิสัย ยังรวมไปถึงว่า การกำหนดโทษความผิดต่างๆ แบบรัฐโลกวิสัยก็จะแตกต่างจากรัฐศาสนาด้วย รัฐศาสนาหลายแห่งใช้วิธีการลงโทษความผิดตามที่คำสอนทางศาสนาที่มีมาแต่โบราณกำหนดไว้ ซึ่งวิธีลงโทษก็มักจะรุนแรง ป่าเถื่อน ด้วยเหตุผลตามสภาพการณ์ของยุคสมัยโบราณนั้นๆ เช่น ลงโทษรุนแรงและทำในที่สาธารณะ ก็เพื่อให้ทั้งสังคมร่วมรับรู้และหวาดกลัวจะได้ไม่มีใครกล้าเอาเยี่ยงอย่าง หรือที่ต้องประหารชีวิตแทนที่จะจำคุก ก็เนื่องจากยุคสมัยนั้นไม่มีเรือนจำมากพอ หรือไม่มีงบประมาณสำหรับเลี้ยงดูนักโทษ จึงต้องใช้การประหารชีวิตอย่างเดียว แต่จริยธรรมของรัฐโลกวิสัยทำให้ต้องกำหนดบทลงโทษทางกฎหมายให้มีเหตุผลและเหมาะสมกับยุคสมัย
ขอสรุปหลักการทั้งหมดนี้เป็นถ้อยคำสั้นๆว่า
"หลักจริยธรรมของรัฐโลกวิสัย คือ การมุ่งให้ประชาชนมีเสรีภาพให้มากที่สุด พร้อมกับความเสมอภาค ตราบเท่าที่ไม่กระทบประโยชน์สุขส่วนรวม โดยยึดเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย และทำตามเสียงส่วนใหญ่ของพลเมือง โดยไม่คำนึงถึงหลักการของศาสนาใดๆ"
แน่นอนว่า เกณฑ์ "จริยธรรมของรัฐโลกวิสัย" ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ย่อมไม่สามารถเป็นที่พอใจของคนทุกคนในสังคมได้ เพราะคนในแต่ละศาสนาและวัฒนธรรมย่อมมีบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน แต่ถึงกระนั้น รัฐโลกวิสัยก็ต้องพยายามยึดถือ "จริยธรรมของรัฐโลกวิสัย" อันนี้เป็นแนวทางในการบริหารและปกครองสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อมุ่งทำให้สังคมเกิดเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนาให้มากที่สุด แม้ว่าคนในศาสนานั้นศาสนานี้อาจตำหนิว่าเป็น "รัฐไร้จริยธรรม" ก็ตาม แต่ในภาพรวมและในระยะยาวแล้ว...
พวกเขาและลูกหลานจะ "ขอบคุณ" หลักจริยธรรมของรัฐโลกวิสัย
ศิลป์ชัย เชาวเจริญรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น