วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลัทธิบูชาเสด็จพ่อ ร.5

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรและเสด็จสวรรคต ณ วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ก็ได้สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของทวยราษฎร์อย่างสูงยิ่ง จนได้รับพระฉายานามว่า "ปิยมหาราช"
   แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อสวรรคตไปแล้ว พระองค์ได้ถูกทำให้กลายเป็นเทพหรือสมมติเทวราช ของประชาชนไปด้วย หลายคนมีความเชื่อว่าได้เห็นท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ผู้ที่นับถือประจักษ์ต่อสายตาต่าง ๆ นานาด้วย
และด้วยความเชื่อต่าง ๆ นั้น ทำให้พระองค์มีลักษณะเป็น บุคลาธิษฐาน หรือบุคคลในจินตนาการหรือบุคคลในมโนคติแห่งการอธิษฐานเพื่อขอพรให้พระบารมีแห่งพระองค์ได้ปกป้องคุ้มครองและอำนวยชัย จนพระองค์มีฐานะเป็นเทพในหัวใจของชาวไทยทั้งมวลในที่สุด


จนเป็นที่มาของคำเรียกติดปากที่เราได้ยินกันอยู่ทุกวันนี้ว่า "เสด็จพ่อ ร.5"

ยังไม่พอ ยังได้มีคนได้สร้างวิธีบูชาเสด็จพ่อ ร.5 ขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะอีกด้วย โดยบอกว่า ใครบูชาก็จะทำให้พระองค์ท่านนำความสุขความเจริญสู่ผู้เคารพบูชาและครอบครัวตลอดจนตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวไกลอีกด้วย ลองมาดูรายละเอียดกัน


วันบูชา :  หากไม่บูชาทุกวัน เนื่องจากมีกิจจำเป็นก็ให้บูชาทุกวันอังคาร ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ และวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันครู หรือควรบูชาทุกวันพระ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าบูชาแล้วต้องถวายติดต่อกันไป ไม่ใช่ทำ ๆ และในวันพระให้ยกเว้นการบูชาสิ่งที่เป็นอบายมุข เช่น บุหรี่ เหล้า



เครื่องสักการะให้ถวาย มีดังนี้ : 1. น้ำมะพร้าวอ่อน  2. กล้วยน้ำว้า  3. ทองหยิบ  4. ทองหยอด  5. บรั่นดี  6. ซิการ์   7. ข้าวคลุกกะปิ   8. ดอกกุหลาบสีชมพู





วิธีการบูชา:

สำหรับผู้บูชาครั้งแรกให้จุดธูป 16 ดอก ส่วนครั้งต่อไปจุด 9 ดอก แล้วว่าคาถาดังนี้

พระคาถาบูชาดวงวิญญาณเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5

"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" (3 จบ)

"พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ" (กล่าว 3 ครั้ง)

พระคาถาบูชาพระพุทธเจ้าหลวง แบบย่อ

"พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ" หรือแบบเต็ม "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ มาสีสะมานัง"

พระคาถาอธิษฐานขอพร แต่ห้ามบนบาน

"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

พระสยามะมินโท วะโร อัตตัง พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปิโย เทวามนุสสานัง จงเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ปิโย นาคะสัมปันนานัง จงบังเกิดความรักที่มีอนุภาคสูงสุด ปิโย พรหมานะมุตตะโม จงบังเกิดความรักกับผู้มีอำนาจท่านท้าวมหาพรหม เจ้าจอม อินทรา นาค ครุฑ และคนธรรพ์ ปินันทิยัง นะมามินัง ความรัก ความยินดี ความเมตตา จงบังเกิดในเรือนร่างข้าพเจ้าทุกส่วนแม้ปลายเส้นผม

"ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ (5 จบ) ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า (นาย นาง นางสาว) ชื่อ...นามสกุล... ต้องการให้พระองค์ท่านช่วยเรื่อง... อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะ นาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ (3 จบ) พระพุทธเจ้าขอรับด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะขอให้บุญบารมีขององค์เสด็จพ่อ ร.5 สูงยิ่ง ๆ ขึ้น และแกร่งกล้ายิ่ง ๆ ขึ้น"


อยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนต้นคิดทั้งหมดนี้?


ไม่เพียงเท่านั้น  ยังมีการ "เข้าทรงเสด็จเตี่ย ร.5" ด้วย
      
       จากผู้หญิงธรรมดา ใช้ชีวิตแม่บ้าน วันหนึ่งโรคร้ายที่ไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุ นำมาสู่บทบาทใหม่ ในฐานะร่างทรงของสมเด็จพระปิยมหาราช หรือเสด็จเตี่ย และร่างทรงของกรมหลวงชุมพรฯ ที่หลายคนนับถือ
       
       ที่บ้านสองชั้น ย่านลาดพร้าว อัมภา เปรมสุข ชื่อที่หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่หากเอ่ยถึงแม่ครู หรือเตี่ย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธาเสด็จเตี่ย หรือพระปิยมหาราช ย่อมเป็นที่รู้จักกันอย่างดี หญิงสาววัยกลางคน พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล นึกย้อนหลังที่มากว่า 32 ปี ก่อนที่จะมาเป็นร่างทรง  
        
       แม่ครูอัมภาเล่าว่า ปี 2503 เธอแต่งงานย้ายเข้าบ้านพักข้าราชการโรงเรียนเตรียมทหารเก่า แถวลุมพินี วันหนึ่งฝันเห็นชายแก่สวมเสื้อและนุ่งผ้าโจงกระเบนสีขาว ถือไม้ตะพด เดินอยู่หลังบ้าน หยิบเข็มสองเล่มทิ้งไว้ที่ก๊อกน้ำ ก่อนหายไป อยู่มาไม่นานหลังจากนั้นเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ มีอาการปวดศีรษะและไม่สบายอยู่เป็นนิจ สามวันดีสี่วันป่วย ไปหาหมอก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มีผู้มาแนะนำว่าถ้าอย่างนั้นควรไปหาหมอพระหรือเทพ
       
       "พระบอกว่ามีเทพรักษา ไปหาเทพบอกว่ามีเจ้ารักษา เป็นองค์รัชกาลที่ 5 กับเสด็จในกรม ไม่ทราบว่าจะเอาอย่างไรก็โรคที่เป็นอยู่ จะรักษาด้วยเหตุอันใด จึงอธิษฐานหากสิ่งเหล่านี้มาอยู่กับข้าพเจ้าจริง ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเด็ดขาดแล้วจะรับท่าน เพื่อให้พระองค์สร้างบารมีต่อประชาชน คนทุกข์ร้อน จากนั้นท่านก็จับร่างสร้างบารมีมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้"
       
       เหตุการณ์ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น หลังจากปี 2516 เมื่อเธอยอมรับพระองค์ท่าน ทุกสิ่งทุกอย่าง โรคภัยไข้เจ็บดีขึ้น ไม่เคยหาหมอ เข้าโรงพยาบาล จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบว่าโรคภัยต่างๆหายขาดหรือยัง เพราะชีวิตนี้มอบให้พระองค์ท่านแล้วแม้ว่าลูกหลานจะห้ามปราม แต่ถ้าเธอไม่ทำก็ไม่สบาย ทำแล้วสบาย ไม่เจ็บไม่ป่วย เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ให้แล้ว จึงไม่รู้ว่าโรคที่เป็นมาแต่เดิม หายหรือไม่หาย เพราะไม่เคยเข้าโรงพยาบาล


ชฎาครอบครูในพิธีไหว้ครู
ของลัทธิพิธี ร. 5
       
       "แรกๆคนรอบข้างมองว่าสติเสีย แต่เมื่อเห็นอภินิหารไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากยอมรับ ก่อนเข้าทรงทำการอาบน้ำให้สะอาด เนื้อตัวต้องสะอาด ปฏิบัติรักษาศีล 3 ข้อตลอดชีวิต ไม่กินเนื้อวัว ไม่ผิดศีลกาเม หากมีคู่ สามีต้องยกให้ อยู่กันฐานพี่น้อง หรือเป็นบิดาของบุตรไม่งั้นใครคนใดคนหนึ่งต้องมีอันเจ็บป่วยไป ไม่ลักขโมย สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทำบุญบวชพระ ทอดผ้าป่า-กฐิน พาผู้คนไปแสวงบุญในที่ต่างๆ "แม่ครูเล่า
       
       เธอบอกว่า หากร่างมีองค์เทพไม่จำเป็นต้องรับเป็นร่างทรง โดยการขอท่านว่าเราขอสักการบูชา ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และทุกปีทำพิธีครอบครู พระชฎาของกษัตริย์ จริงๆแล้วท่านมีบารมีทุกองค์ แต่ท่านไม่สามารถที่จะสร้างบารมีต่อได้อีก ต้องอาศัยร่างของคนที่มีจิตใจดี เพื่อจะถวายกุศลท่านสืบต่อไป
       
       "เวลาท่านมาไม่มีพิธีรีตองอะไร นั่งบนที่ประทับ จิตนิ่งเป็นสมาธิ ตั้งนะโม 3 จบบอกท่านว่ามีคนมาพึ่งบารมี ในสิ่งใดลูกไม่รู้ แล้วแต่ท่านจะโปรด เป็นหน้าที่ของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดังนั้นท่านจะช่วยคนในลักษณะไหน เราก็ไม่รู้"แม่ครูอัมภา เล่าให้ฟังถึงความรู้สึกขณะประทับทรง เธอบอกว่า เสด็จพ่อ ปัจจุบันคือสหัมบดีพรหม เป็นองค์ที่อาราธนาธรรมต่อองค์พระศาสดา พรหมมา จ โลกา เวลามาญาณท่านลงที่กลางกระหม่อม จะรู้สึกเสียวที่กระหม่อม เสด็จพ่อลงจะเย็นลงมาเลย ส่วนเสด็จในกรมจะร้อน จากนั้นจิตจึงดับไป
       
       "อาการ 32 ดับหมดเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีการขับถ่าย การกิน สิ่งที่เป็นอยู่ได้เป็นวันเป็นคืน จนกว่าจะหมดภาระของท่านที่จะสร้างบารมีต่อประชาชน หรือหมดลูกศิษย์ เมื่อกลับคืนมาเป็นตัวเรายามที่ท่านถอยจึงหิว"
       
       คนมาดูเล่าถึงแม่ครูฟังขณะประทับทรงว่า เปลี่ยนเป็นคนที่ดูมีอายุ เคยอยากรู้ว่าช่วงที่ท่านประทับทรง ร่างกายเป็นอย่างไร ได้ถ่ายทำวีดีโอไว้ จึงเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จึงยอมเชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ได้เป็นคนบ้า สติฟั่นเฟือน
อภินิหารหยดเทียนรูปรัชกาลที่ 5
       
       แม่ครูอธิบายถึงเทพที่ประทับร่างว่า ท่านมาในนามของจอมท้าวสหัมบดีพรหม เพราะฉะนั้นร่างท่านบัญญัติเลยว่าไม่ต้องไปไหน ให้อยู่กับที่ ไม่ได้เดินสายแบบเทพ หรือร่างต่างๆ จะบอกว่าเป็นอาชีพไม่ได้ เพราะไม่ต้องการเงิน ไม่ทำก็ไม่สบาย เวลาท่านมาพานครูแบ่งเป็น 3 ส่วน เลี้ยงร่าง ซื้อดอกไม้ธูปเทียน และบำรุงศาสนา ค่าครูแรกเริ่ม 12 บาท ปัจจุบัน 59 บาท  

       
       "หากเกิดเหตุไม่ดีเกี่ยวกับบ้านเมือง ดวงพระยาทั้งสองจะไม่เสด็จ แล้วก็อัศจรรย์ที่ไม่มีสานุศิษย์มาเลย คืออภินิหาร รู้ได้เลยว่าบ้านเมืองไม่ดี ท่านไม่สามารถมาช่วยเหลือคนในกลุ่มน้อยได้ หากหมดภาระของพระองค์ท่านตรงนี้ ท่านจะเสด็จไปประทับร่างที่ไหน ไม่สามารถรู้ได้ เพราะท่านไม่ได้อยู่กับเราทั้งวัน เรายังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าท่านไม่ผ่อนคลาย อาหารก็กินไม่ได้ "

----


ที่จริงผู้นำประเทศที่มีการเลิกทาสคนแรกในโลกคือ อับราอัม ลินคอล์น ปธน.แห่งสหรัฐอเมริกา เลิกด้วยความยากลำบาก ถึงกับเกิดสงครามกลางเมือง และถึงแก่กรรมด้วยการถูกลอบสังหาร ท่านได้รับการถือว่าเป็นประธานาธิบดีที่เป็นที่รักมากที่สุดตลอดกาลของคนอเมริกัน เมื่อจากไปก็มีการปั้นอนุสาวรีย์ให้อย่างยิ่งใหญ่

แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการจากไปของ ปธน.ลินคอล์นกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า คือ ลินคอล์นตายแล้วไม่ได้กลายเป็นเทพ แต่รัชกาลที่ห้าได้กลายเป็นเทพ

ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงว่า อนุสาวรีย์ของลินคอล์น ไม่มีธูปเทียน มีแต่คนมาเยี่ยมคารวะและชื่นชมซาบซึ้่งคุณงามความดี แต่ของรัชกาลที่ห้ามีคนมาขอพรต่างๆนานา และขอหวยด้วย

ในเมืองไทย คนดังคนไหนตาย ถ้ามีแฟนคลับเยอะ และชีวิตตราม่ามากๆ ละก้อ

ตายเมื่อไหร่ได้เป็นเทพเกือบทั้งนั้น



ศิลป์ชัย  เชาว์เจริญรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น