วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พัฒนาการทางนิกายของศาสนายูดาย


ศาสนายูดาย (Judaism) หรือศาสนายิว หนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ถือว่าเริ่มโดยศาสดาพยากรณ์โมเสส ซึ่งนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์มาก่อตั้งชาติใหม่ยังดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ให้ คือดินแดนปาเลสไตน์ในปัจจุบัน พร้อมกับเรื่องราวของบัญญัติสิบประการและกฎหมายพิธีการอื่นๆ

ถือเป็นหนึ่งในศาสนาที่มีการรักษาประเพณีที่เคร่งครัดมาก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็เกิดแนวความเห็นที่แตกต่างเป็นหลายนิกาย ในยุคเดิมช่วงก่อนคริสตศักราชก็พบว่า มีการแบ่งเป็นหลายนิกายแล้ว ได้แก่ นิกายของพวกฟาริซี ซึ่งเน้นธรรมบัญญัติเคร่งครัด นิกายของซะดูซี ซึ่งไม่เคร่งครัดและความเชื่อแตกต่างจากเดิมในบางเรื่อง นิกายของพวกเอสซีนส์ซึ่งเคร่งครัดและทำตัวเยี่ยงฤๅษี เหมือนกับพระวัดป่า อยู่ตามถ้ำในทะเลทราย

ต่อมาในศตวรรษที่สามสิบเป็นต้นมา ก็เกิดกลุ่มของคนที่ติดตามพระเยซูที่เชื่อว่าเป็นพระคริสต์หรือเมสสิยาห์ตามความเชื่อดั้งเดิม ก็เกิดเป็นเสมือนนิกายใหม่ของศาสนายิวอีกหนึ่งนิกาย แต่ต่อมาก็แยกขาดจากการเป็นศาสนายิวกลายเป็นศาสนาใหม่อย่างสมบูรณ์ และอีกราวห้าร้อยปีต่อมาก็มีการตั้งศาสนาอิสลามจากพื้นฐานความเชื่อดั้งเดิมของศาสนายูดาย

ถึงกระนั้นการพัฒนาของการแยกนิกายก็ยังไม่จบ ยังแยกใหม่อีก ทุกวันนี้การนิกายดั้งเดิมของศาสนายูดายได้เปลี่ยนไปมากจนกระทั่งปัจจุบัน นิกายในศาสนายิวถือว่ามี 4 นิกาย คือ

1. นิกายออร์ธอดอกซ์ (Orthodox) นับถือศาสนาเป็นแบบประเพณีดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด มีมุขนายกเป็นหัวหน้าเน้นความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์โทราห์ และกฏหมายทัลมุดอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษรถือวินัยข้อบังคับ 613 ข้อ รักษาชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ จำกัดอาหารบางประเภทพยายามดำรงชีวิตอยู่อย่างบรรพบุรุษทุกประการ ไม่เปลี่ยนแปลงประเพณีโบราณ ถือว่าประเทศอิสราเอลเป็นแผ่นดินสัญญาและมาตุภูมิของตนที่พระเจ้าได้ทรงประทาน

การประท้วงของพวกชาวยิวนิกายอัลตร้าออโธด๊อกซ์
2. นิกายปฏิรูป (Reform) ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนสมัยใหม่ ถือว่าพระคัมภีร์และกฎหมายรวมทั้งประเพณีต่างๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุงได้ แปลคัมภีร์ออกเป็นภาษาพื้นเมืองและภาษาต่างๆ ได้ และตีความให้เข้ากับกาลสมัย ยกเลิกข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติโบราณที่ขัดแย้งกับชีวิตสมัยใหม่ ย่นย่อพิธีกรรมให้กะทัดรัด เลิกพิธีสังเวยบูชาสมัยโบราณและการร้องเพลงในโบสถ์ ไม่เชื่อในการเสด็จมาของพระเมสิอาห์และการสร้างประเทศอิสราเอลใหม่เพราะถือว่าประเทศที่ตนเกิดก็คือมาตุภูมิของตน

3. นิกายอนุรักษ์ (Conservative) เป็นนิกายที่พยายามเดินทางสายกลางระหว่างนิกายแรกกับนิกายที่สอง กล่าวคือ ถือว่าศาสนายิวเป็นแก่นสำคัญของชีวิตชาวยิวทุกคน รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณไว้ให้มากที่สุด ส่วนใดล้าสมัยก็ค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขภายในกรอบของกฎหมาย

4. นิกายรีคอนสตรักชั่น (Reconstructionism)  เป็นนิกายที่แยกตัวจากนิกายอนุรักษ์ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1920–40 ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาลัทธิปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ลัทธิธรรมชาตินิยม (Naturalism) ของสหรัฐอเมริกา เป็นพวกหัวรุนแรง ถืออิสระเสรีในการนับถือศาสนา และอนุโลมให้ปรับปรุงแก้ไขศาสนาให้เข้ากับชีวิตสมัยใหม่ได้

ยังไม่จบ ต่อมาราวปี 1830 กลายเป็นว่านิกายออโธดอกซ์ที่ว่าเคร่งที่สุดก็ได้เกิดมีกลุ่มใหม่หรือนิกายย่อยใหม่ที่ เคร่งจัดยิ่งว่าเดิม เรียกว่า "อัลตร้า ออโธดอกซ์" (Ultra Orthodox) พวกนี้จะสวมหมวกดำ แต่งชุดคลุมดำ ไว้เครา เรียกได้ว่ากลุ่มนี้เป็น "พวกยิวพวกหัวรุนแรงโบราณนิกายหมวกดำ" (The black-hatted ultra-Orthodox) มีชื่อเฉพาะเรียกว่าพวก "Haredim" หรือ Haredi (ฮารีดิม) พวกนี้จะอ้างว่าพวกตนนั้นอุทิศชีวิตเพื่อการศึกษาและปฏิบัติตัวตามพระคัมภีร์โทราห์ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ของศาสนายูดาย

ปัญหาก็คือ พวกนักเรียนพระคัมภีร์โทราห์ของพวกฮารีดิมนี้เรียกว่าเยชิวา (yeshiva) นี่ได้สิทธิพิเศษคือ ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร แถมยังได้ทุนเล่าเรียนจากรัฐบาลทุกคน ส่วนพวเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการใช้สวัสดิการของรัฐอิลราเอลล้วนๆ พวกนี้อยู่รวมกลุ่มกันเป็นย่านแบบชุมชนแออัดและมักจะรวมตัวกันด่าว่าบรรดาสตรีที่ไม่แต่งชุดดำที่มิดชิดและมีผ้าคลุมศีรษะสีดำที่เข้าไปอยู่ในย่านของพวกยิวหัวโบราณนี้ หากผู้หญิงเดินสวนกับผู้ชายบนทางเท้า ผู้หญิงต้องหลีกให้ ถ้าไม่หลีกลงไปเดินบนถนนก็จะโดนด่า

นอกจากนี้ การโดยสารรถประจำทางในย่านนี้ผู้หญิงต้องไปนั่งรวมกันทางด้านหลังทั้งหมดให้ผู้ชายนั่งด้านหน้า ใครไม่ยอมก็จะบังคับให้คนขับรถหยุดรถเพื่อไล่ผู้หญิงลง (เมื่อวานก็เพิ่งมีเรื่องโดนจับไปอีกสอง และมีการยกพวกมาทุบกระจกรถโดยสารพังทั้งคน)



จาก http://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/europe/germany/8101367/Anger-as-Germany-cuts-funding-to-Orthodox-Jews.html

ข้อเขียนของ อ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ เล่าเรื่องยิวฮารีดิมไว้ว่า "พวกนี้มีสิทธิพิเศษเหนือชาวยิวทั้งชายและหญิงทั้งหลายของรัฐอิสราเอลคือ ไม่ต้องเกณฑ์ทหารและนักเรียนเยชิวาของพวกยิวฮาริดีก็ได้ทุนจากรัฐบาลอิสราเอล ส่วนนักเรียนยิวอื่นๆ ไม่ได้ นอกจากนี้ พวกยิวฮาราดิมยังไม่ต้องทำงาน (เพราะทำอะไรไม่เป็นนอกจากท่องพระคัมภีร์โทราห์ไปทั้งวัน) และทำตัวเป็นอันธพาลคุมย่านที่อยู่ของพวกยิวฮาราดิมแบบด่าว่าพวกไม่คลุมศีรษะ หรือพวกผู้หญิงที่พลัดเข้ามาในเขตคุ้มครองโดยได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลอย่างเต็มที่

ประชาชนชาวยิวอดทนกับพวกยิวฮารีดีมมา 60 กว่าปีแล้ว ก็เริ่มเห็นอันตรายต่อความอยู่รอดของรัฐอิสราเอลที่เข้ามาใกล้ทุกที เนื่องจากพวกยิวฮาราดีมีลูกมาก คือเฉลี่ยครอบครัวละ 7-8 คน (ก็ว่างนี่ครับ) ต่อไปหากมีพวกยิวฮารีดีมมากเป็นครึ่งต่อครึ่งของประชากรทั้งหมด ก็คงต้องขาดแคลนกำลังทหารที่จะป้องกันประเทศอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีคำถามต่อไปว่าเศรษฐกิจยิวจะอยู่ได้อย่างไรที่ต้องเลี้ยงคนไม่ทำงานเป็นจำนวนมหาศาลเช่นนี้

ศาลฎีกาอิสราเอลได้เริ่มงานเพื่อประกันความมั่นคงของชาติก่อนใคร โดยการพิพากษาว่าการให้ทุนนักเรียนเยชิวาของพวกยิวฮารีดีมทุกคนเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการเอาเปรียบมีอภิสิทธิ์กว่านักเรียนชาวยิวคนอื่นๆ และประชาชนชาวยิวและรัฐสภาได้ร่วมมือการร่างกฎหมายที่จะยกเลิกการละเว้นการเกณฑ์ทหารของพวกนักเรียนเยชิวา ซึ่งพวกยิวฮารีดีมก็จะต้องสู้แบบยิบตาแน่นอน แต่หากศาล ประชาชน รัฐสภาทำการไม่สำเร็จ รัฐอิสราเอลก็คงจะล่มสลายอย่างแน่นอนในอนาคต"

ทำให้คิดถึงสถานการณ์บ้านเราไหมครับ ยิวที่นับถือนิกายนี้ยังทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่ิอยๆ และมีที่อยู่นอกอิสราเอลด้วย ที่มากที่สุดคือที่อเมริกาเหนือ

นี่คือพัฒนาการทางนิกายของศาสนายูดายจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าโมเสสมาเห็นทุกวันนี้คงจำไม่ได้และนึกไม่ถึงทีเดียวครับ



ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น