ผู้เขียนได้เคยได้อ่านพบข้อความหนึ่งว่า "...หากพระเยซูทรงถูกประหารเมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกวันนี้เราคงได้เห็นชาวคริสต์ห้อยเก้าอี้ไฟฟ้า แทนห้อยไม้กางเขน..." ผู้กล่าวคำนี้เป็นนักเขียนตะวันตกคนหนึ่ง
และมีคนบอกด้วยว่า หากพระองค์ถูกประหารเมื่อสิบปีก่อน สัญลักษณ์ของคริสตชนอาจกลายเป็น "เข็มฉีดยา"
การกล่าวเช่นนี้ขอท่านผู้อ่านโปรดอย่าเพิ่งเคือง แต่ประโยคของนี้ ได้สะท้อนข้อคิดบางประการว่า บางครั้งสิ่งที่เรายึดมานานๆ สืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อศรัทธาทางศาสนา (ของทุกศาสนาหรือทุกคณะนิกาย) หากเรายึดถือไปโดยไม่เข้าใจที่ไปที่มาอย่างแท้จริง จนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือแก่นและอะไรคือกระพี้หรือเปลือก อะไรคือแก่นสาระอะไรเป็นเพียงสัญลักษณ์ หรืออะไรคือความหมายและอะไรคือรูปแบบ ก็จะส่งผลร้ายในสามประการ
อย่างแรกคือ การแยกความหมายออกจากรูปแบบไม่ได้ มักจะทำให้คนเรายึดติดที่รูปแบบมากกว่า เพราะรูปแบบเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดและจับต้องง่าย ทำตามได้ทันที ซึ่งการยึดติดที่รูปแบบเช่นนี้เท่ากับการ "พลาดเป้า" ไปอย่างน่าเสียดาย
สองคือ เมื่อลองยึดติดกับรูปแบบแล้ว ก็มีแนวโน้มจะยึดรูปแบบอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนปรับเปลี่ยนรูปแบบอะไรก็ไม่ได้เลย เพราะรูปแบบเป็นของที่ชัดเจนตายตัว
ประการที่สาม เมื่อได้ยึดที่รูปแบบตายตัวเสียแล้ว ก็มีแนวโน้มสูงที่เราก็จะไปมองว่าคนอื่นที่ปฏิบัติรูปแบบที่ต่างกับเรา "ผิด" ซึ่งหากพิจารณาลึกลงไปก็อาจพบว่า แท้จริงแล้ว เนื้อหาของเขาก็เหมือนกับเรานั่นเอง
การจะเข้าใจคัมภีร์ให้ถูก เราต้องไปไกลว่าแค่การรู้เนื้อความตามตัวอักษรของคัมภีร์ ต้องไปไกลกว่ารากศัพท์ของภาษาเดิม ไปไกลกว่ารูปแบบศาสนพิธี ระบบโครงสร้างของสถาบันศาสนาหรือโครงสร้างขององค์กรคณะนิกาย แต่เราต้องไปไกลจนกระทั่งถึงแก่นแท้ของสาระของคัมภีร์
ซึ่งเมื่อไปถึงขั้นแก่นแท้ตรงนั้นจริงๆ บรรลุจุดสูงสุดตรงนั้นจริงๆ เราก็อาจแปลกใจเช่นเดียวกับอีกหลายคนในประวัติศาสตร์ที่ได้บอกว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เราเป็นแบบที่ผ่านมาได้ยังไง
...ใครจะรู้...
ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น