คนโบราณของไทยจึงยกมือขึ้นไหว้หลังจากทานข้าวอิ่มเพื่อขอบคุณแม่โพสพ และมีคำสั่งสอนว่ากินข้าวให้หมด ไม่เช่นนั้นแม่โพสพจะเสียใจ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อแรกจะทำนาและตลอดฤดูถึงการเก็บเกี่ยว จึงมีการประกอบพิธีเซ่นไหว้แม่โพสพเป็นระยะๆ ไป
โพสพ บ้างเรียก โพสี ภาษาถิ่นพายัพและอีสานว่า โคสก ภาษาไทลื้อว่า ย่าขวัญข้าว ภาษากะเหรี่ยงว่า ภี่บือโหย่ หรือ ผีบือโย ภาษามลายูปัตตานีว่า มะฮียัง (Mak Hiang)
โพสพ เป็นเทพเจ้าแห่งข้าวตามคติความเชื่อของไทย ตามความเชื่อแต่เดิมเป็นเทวสตรี แต่ภายหลังได้มีคติปรากฏเป็นบุรุษเพศคู่กัน มีปลาเป็นพาหนะ
นอกจากนี้ยังปรากฏใน โคลงทวาทศมาส ออกนามว่า "พระไพศภ" "พระไพศพ" หรือ "พระไพสพ"
มีพิธีกรรมบูชาพระแม่โพสพ โดยทำ เฉลว ในหน้านา ด้วยมีความเชื่อว่าพระแม่โพสพจะบันดาลให้วิถีชีวิตของพวกเขาพออยู่พอกิน เป็นมิ่งขวัญของชาวนาในยุ้งฉาง
พระแม่โพสพ มีลักษณะ "...เป็นหญิงสาวท่าทางอ่อนช้อยสวยงาม ภาพของนางที่สร้างขึ้นเพื่อเคารพบูชาเป็นท่านั่งพับเพียบ มือขวาถือรวงข้าวมือซ้ายถือถุงข้าว แต่งกายนุ่งผ้าถุงห่มผ้าสไบเฉียงแบบหญิงในวังสมัยก่อน" แม้พระแม่โพสพจะมีมาเนิ่นนานก่อนการรับศาสนาพราหมณ์แต่ถือกันว่าเป็นพระภาคหนึ่งของพระลักษมี บ้างก็ว่าเดิมเป็นชายาองค์หนึ่งของพระอินทร์ ชื่อ พระสวเทวี (เพื่อโยงชื่อโพสพเข้ากับชื่อชายาพระอินทร์ นั่นคือให้ 'สพ' แผลงมาจาก 'สว' ส่วน โพอาจจะมาจากชื่อ ไพสพ ของเทวดารักษาทิศอีสาน)
เสฐียรโกเศศ ให้ข้อวิเคราะห์ว่า การที่ผีหรือเทวดาประจำพืชพรรณธัญญาหารของชาติต่างๆ ในโลกมักเป็นเทวดาผู้หญิง คงเป็นเพราะข้าวเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิตให้เจริญเปรียบเหมือนมารดาที่เลี้ยงบุตร
ประเทศไทยเราเรียกว่าแม่โพสพหรือเพี้ยนเป็น พสพ หรือ ประสพ ก็มี เข้าใจว่าโพสพเป็นคำเพี้ยนไปจากไพสพซึ่งเป็นเทพพิทักษ์ขุมทรัพย์ในดินหรือมาจากคำว่าไพสพราชซึ่งเป็นชื่อตราตำแหน่งดวงหนึ่งของเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการของโบราณ
ตำนานแม่โพสพของภาคต่างๆ
ตำนานหรือนอทาน เกี่ยวกับแม่โพสพหรือแม่โคสก(อีสาน) มีเล่าต่อกันมาทุกภาคจะแตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น โดยแตดต่างกัน 2 แนวคือ นิทานภาคกลางและภาคใต้จะมีเรื่องตรงกันแนวหนึ่ง อีกแนวหนึ่งเป็นนิทานภาคเหนือและภาคอีสาน
ตำนานแม่โพสพของภาคกลางและภาคใต้
แม่โพสพและพ่อโพสี |
ซึ่งเรื่องราวนี้คล้ายกับคำกล่าวผูกขวัญทางภาคใต้ ว่า
“พระมาตุลีกับพระภูมี พระเพดสนูกรรม์ รับสั่งทรงธรรม์ ชวนกันคลาไคลไปหาปลากราย ยังองศาใต้ หรือว่าอย่างไร กับท่านปลาสลาด เป็นสหายหทัย ท่านรับสั่งไป ถึงพระมารดา มาตุลีสั่งแล้ว ชวนกันแคล้วคลา ยังแต่ฝูงปลา ปรึกษากันไป ว่าจะทำอย่างไร สหายทรงธรรม์ จะไปสองคนก็เปลี่ยวเสี่ยวสัน เพราะหนทางนั้น ลำบากเหลือใจ เราชวนฝูงปลา พาไปให้มาก ปลาน้อยปลาใหญ่ ล่องลอยวารี ไปกันมากมี แต่ล้วนมัจฉา ปลาใหญ่ปลาน้อย ล่องลอยคงคา รับพระมารดา กลับมาคืนเมือง สุดแสนเวทนาเดินทางมรคา ใครจะมาเหมือน ยังมีภูเขา ขวางอยู่เจ็ดแห่ง ยังมีแม่น้ำขวางอยู่เจ็ดแถว หัวใจแคล้วๆ มากกลางทะเล............................บัดเดี๋ยวมาใกล้ เขาแก้วมณี ที่พระชนนี เข้าอยู่อาศัย ”
ปัจจุบันการบูชาพระแม่โพสพได้สร่างซาลงไป โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายมลายูที่เลิกการบูชาโพสพเพราะขัดกับหลักศาสนาอิสลาม ต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทรงอุปถัมภ์พิธีกรรมโบราณนี้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 บางหมู่บ้านก็มีสตรีแต่งกายเป็นพระแม่โพสพช่วงเทศกาลหรืองานเฉลิมฉลองในท้องถิ่น
ตำนานแม่โพสพของภาคเหนือและภาคอีสาน
ตำนานแม่โพสพที่มีผู้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรธรรมที่วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่า
นานมาแล้ว พญาวิรูปักขาเป็นผู้ให้กำเนิดข้าว ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่า กุกกุสันโท ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก ได้มีผู้นำเอาข้าวมาเลี้ยงคนและสัตว์ในชมพูทวีป ปรากฏว่าข้าวในสมัยนั้นเมล็ดใหญ่โตมากมีกลิ่นหอมและรสอร่อย แต่เมื่อต้องกินต้องใช้มีดพร้าผ่ามานึ่งกิน ต่อมาถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่า โกนาคมโน เมล็ดข้าวก็เล็กลงบ้าง แต่ยังมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเหมือนเช่นเคย
ในสมัยต่อมามีหญิงชราหม้ายคนหนึ่งเคยมีสามีถึง 7 คน สามีตายหมดต้องอยู่คนเดียว ทั้งไม่มีลูกหลานจะพึ่งพาอาศัย คราวหนึ่งขณะนางกำลังทำยุ้งข้าวอยู่ เมล็ดข้าวก็พากันบินหลั่งไหลมารวมกัน ณ ใต้ถุนบ้านของนาง ยายแม่หม้ายโกรธมากที่เมล็ดข้าวมามากมาย เนื่องจากนางยังทำยุ้งไม่เสร็จนางจึงเอาไม้ขนาดใหญ่ตีเมล็ดข้าวเหล่านั้นให้แตกกระจายเป็นซีกเล็กๆ ดังนั้นข้าวก็ตกใจพากันไปอยู่ตามเถื่อน (ป่า) ถ้ำ และหนอง ชาวบ้านให้ชื่อนั้นว่านางโพสพ ข้าวนั้นไม่กลับมาหามนุษย์อีก ผู้คนพากันอดข้าวเป็นเวลานานมานถึงพันปี
มีลูกเศรษฐีคนหนึ่งไปเที่ยวป่าหลายวัน อดอาหารจึงเอาเหล็กแทงลงไปในน้ำเพื่อหาปลา บังเอิญแทงไปถึงปลาไหลทองตัวหนึ่ง ท้องแตกกระจายไปทั่ววังน้ำ มีพญาปลากั้ง (ตัวคล้ายปลาช่อน) ตัวหนึ่งมาพบเข้าจึงอ้อนวอนขอแลกปลาไหลทองด้วยนางโพสพ คือข้าว ลูกเศรษฐีตกลงจึงเรียกนางโพสพ คือข้าวมาหาและมอบให้ลูกเศรษฐีไป นางโพสพขัดขืนไม่อยากไปเมืองมนุษย์เพราะกลัวถูกตีอีก
มีเทวดาสององค์เนรมิตปลาและกวางทองมาช่วยพูด ขอให้นางโพสพไปอยู่เมืองมนุษย์เพื่อเลี้ยงคนและสืบพระศาสนานางโพสพเห็นเป็นเทวดาก็ไม่อาจขัดได้จึงตกลงไปกับลูกเศรษฐีพอมาถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป เมล็ดข้าวก็เล็กลงมาอีกและมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเดิมตลอดมา จนถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า โคตโม เมล็ดข้าวเล็กลงอีกมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเคย
ต่อมามีพญาองค์หนึ่งเสวยราชแต่เป็นกษัตริย์อธรรมเกิดฝนแล้ง คนอดอยาก พญาองค์นั้นได้ทำยุ้งฉางหลวงข้าวไว้แจกจ่ายประชาชนจึงมาขอรับข้าวไปแลกของกินและสิ่งของต่างๆ และขายเอาเงินมาใช้ ข้าวโกรธจึงหนีไปอยู่หินองต่อใกล้พระฤๅษีตนหนึ่งซึ่งพำนักอยู่ ณ ที่นั้น ประชาชนอดอยากอยู่ประมาณสามร้อยปี ผู้คนตายกันทั้งเมือง ยังเหลืองแต่ตายายสองผัวเมีย และได้เข้าป่าไปหาพระฤๅษีเพื่อขออาหารกินและได้เล่าถึงความอดอยากให้พระฤๅษีฟัง พระฤๅษีสงสารจึงเรียกนางโพสพ หรือข้าวมาหาแล้วมอบให้สองเฒ่านั้น ชั้นแรกนางโพสพขัดขืนไม่ยอมไป ต่อมาพระฤๅษีบอกคาถาให้สองเฒ่านั้นเสกใส่นางโพสพ นางโพสพถูกคาถาจึงตกลงไปยังเมืองมนุษย์อีกและและพระฤๅษีเสกให้ข้าวชนิดต่างๆ ด้วยพระฤๅษีให้สองเฒ่านั้นนำเมล็ดข้าวไปปลูก คราวแรกต้นเหี่ยวตายสองเฒ่าจึงแต่เครื่องขวัญเรียกวิญญาณนางโพสพ และเอาคาถาที่พระฤๅษีบอกให้มาเสกใส่น้ำแล้วไปรดต้นข้าว ต้นข้าวจึงงอกงามดี เมล็ดข้าวได้แตกออกเป็นเมล็ดเล็กมากมาย สองเฒ่าจึงได้เอาเมล็ดข้าวแจกจ่ายไปยังบ้านเมืองต่างๆ ทั่วไปและแนะนำปลูกข้าวให้ทราบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับข้าว เช่น มีการทำบุญคูณลาน เมื่อนวดข้าวกองไว้ที่ลานและทำพิธีเรียกขวัญข้าวหรือเจ้าแม่โพสพด้วย สองเฒ่าอายุยืนถึงพันปีจึงถึงแก่กรรม พันธุ์ข้าวได้แพร่หลายไปตามบ้านเมืองต่างๆ อย่างกว้างขวางตลอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า
ข้าวมาจากเทวดาผู้หญิง ชื่อนางโคสก นางโคสกเป็นมเหสีของท้าวสักกะเทวราชซึ่งหมดบุญในสวรรค์ และต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งนางไม่ต้องการ นางต้องการอุทิศเนื้อหนังมังสาของนางให้เป็นอาหารเพื่อให้มนุษย์ได้บริโภค นางจึงขอพรต่อท้าวสักกะเทวราชผู้เป็นสามีว่า ขอให้นางได้เกิดเป็นอาหารของมนุษย์เถิด อย่าให้ต้องได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะมนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างลำบาก ไม่มีอาหารบริโภค เมื่อได้ประทานพรแล้วนางจึงได้ลงมาในโลกมนุษย์เป็นหญิงสาวสวยงาม เดินถือดอกปาริชาตจากสวรรค์เข้าไปหาพระฤๅษีตาไฟที่นั่งหลับตาภาวนาอยู่ในป่าหิมพานต์ ตามปกติพระฤๅษีตาไฟจะลืมตาปีละครั้งในฤดูดอกปาริชาตบาน ถ้าลืมตานอกฤดูกาลไฟจากดวงตาจะจะไหม้สรรพสิ่งให้เป็นจุณไปหมด เมื่อพระฤๅษีได้กลิ่นดอกปาริชาตจึงแปลกใจว่าทำไมจึงมีกลิ่นกอดปาริชาตทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงฤดู จึงลืมตาขึ้น ไฟจากดวงตาไหม้นางเป็นจุณ พระฤๅษีสงสัยจึงเอาน้ำรดนางตรงนั้น แล้วอธิษฐานให้นางคืนชีพ เมื่อนางคืนชีพจึงบอกความประสงค์แด่พระฤๅษี แล้วร่างของนางเป็นเมล็ดข้าวขนาดกว้าง 8 นิ้ว ยาว 16 นิ้ว โดยประมาณวางอยู่ พระฤๅษีจึงขออธิษฐานขอให้นางบรรลุวัตถุประสงค์ แล้วยกไม้เท้าตีเมล็ดข้าวให้แตกกระจาย แผ่ไปทั่วโลกบางส่วนตกลงไปในป่ากลายเป็นหัวเผือก หัวมัน บางส่วนตกลงไปในทุ่ง ในหนอง ในที่ราบก็เป็นข้าว เมื่อมนุษย์ไปพบเห็นก็เก็บมาทดลองกินพบว่ากินได้ กินดี จึงนำมาเพาะปลูก เผยแพร่สืบต่อมา ข้าวมีชีวิตเหมือนคน มีปีกบินไปไหนมาไหนได้เหมือนนก เมล็ดข้าวโตเหมือนผลแตงโมข้าวมีจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธใครทำดีพลีถูก ข้าวจะบินมาอยู่ในเล้าเองมนุษย์ไม่ต้องปลูกข้าว เพียงแต่สร้างยุ้งไว้คอยเท่านั้น ถึงฤดูการข้าวจะบินมาอยู่เต็มยุ้ง เมื่อนำข้าวมากินไม่ต้องตำ เพียงแต่เอามีดผ่าเอาเมล็ดข้าวสารหุงกินได้ ต่อมามีแม่หม้ายนางหนึ่ง ถึงฤดูกาลแล้วยังสร้างยุ้งไม่เสร็จข้าวบินเข้ามาในยุ้งทำให้เกิดความวุ่นวายและเนื่องจากนางเป็นคนใจร้าย จึงเอาไม้คานหาบไล่ตีข้าวแตกกระจาย พร้อมกับด่าว่าต่างๆ นานา ข้าวถูกตีตกใจหนีไปและคิดว่ามนุษย์นี้ใจดำใจร้ายนัก เรามาอยู่เพื่อให้กินเป็นอาหารก็ยังไล่ด่าไล่ตี คิดแล้วจึงน้อยใจจึงชักชวนกันไปอยู่ในป่าอยู่เขา เกิดเป็นเผือก เป็นกลอยหมด ทำให้มนุษย์ไม่มีข้าวกิน อดอยากหิวโหยไปมากมาย สองเฒ่าตายายเห็นท่าไม่ดีจึงชักชวนกันไปหาฤๅษีตาไฟที่ป่าหิมพานต์เล่าเรื่องให้ฟัง พระฤๅษีสงสารมนุษย์จึงรับอาสาว่าจะไปตามนางโคสกกลับคืน เมื่อพบนางโคสกพระฤๅษีขอร้องให้นางกลับ แต่นางไม่ยอมกลับ โดยกล่าวว่ามนุษย์ใจร้าย พระฤๅษีจึงอ้อนวอน นางบอกว่าถ้าจะให้กลับให้พวกมนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา ว่าแล้วนางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวให้พระฤๅษีไปมอบให้ตายาย และฤๅษีสอนตายายว่า จงเอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกขยายพันธุ์ ต่อไปนี้มนุษย์ต้องปลูกข้าวกิน และอย่าลืมบุญคุณนางโคสกการกระทำต่างๆ ต่อนางโคสก เช่น จะปลูก จะเกี่ยว จะหาบ จะนวด ต้องขอต้องขอขมาต่อนางเสียก่อน และหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้วต้องบายศรีสู่ขวัญให้นาง ก่อนปลูกข้าวก็ต้องขอที่ต่อทางธรณี พระภูมิและตาแฮกเสียก่อน ต้องแต่งพานหวาน 4 พาน หมาก 4 คำ ยา 4 กอก บูชาสิ่งเหล่านี้ เวลาจะฟาดจะตีก็ต้องทำเช่นเดียวกันจงปฏิบัติต่อนางให้ดี ตายายรับคำฤๅษีแล้วนำข้าวกลับมาปลูกแพร่พันธุ์ และทำพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นแต่บัดนั้น
ตำนานทางภาคเหนือเล่าต่อกันมาว่า สมัยก่อนเมล็ดข้าวมีขนาดใหญ่เป็นร้อยเท่าของเมล็ดข้าวปัจจุบัน วันหนึ่งมีเมล็ดข้าวสารติดก้นสุนัข 1 เมล็ดเจ้าของข้าวจึงวิ่งไล่ตามสุนัขตัวนั้นไป โดยข้ามดอยตั้ง 3 ม่อนกว่าจะได้เมล็ดข้าวนั้นคืนมา และเล่ากันต่อไปว่าข้าวมีชีวิตจิตใจ เมื่อถึงฤดูหว่านดำข้าว ข้าวจะหว่านตัวเองลงในนาที่เตรียมไว้ เมื่อสุกได้ที่แล้วก็จะพากันหลุดออกจากรวง แล้วเลื่อนไหลไปสู่ยุ้งฉางที่เจ้าของเตรียมไว้ อยู่มาวันหนึ่งย่าแม่หม้ายกำลังจัดแต่ซ่อมแซมประตูยุ้งข้าวอยู่ข้าวก็พากันลื่นไหลจากทุ่งนามาจะเข้าประตูยุ้งให้ได้ย่าแม่หม้ายโมโหจึงหยิบไม้ตีเมล็ดข้าวแตกออกกระจัดกระจาย ข้าวจึงพากันโกรธย่าแม่หม้าย นับตั้งแต่นั้นมาเมล็ดข้าวจึงมีขนาดเล็กดังเช่นปัจจุบัน
นิทานของชาวลื้อในภาคเหนือบางสำนวนเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้านางขวัญข้าวถูกไล่จึงไปอยู่ถ้ำกับพวกครุฑนาค ต่อมาชาวบ้านอดข้าว จึงได้ทำพิธีเชิญแม่โพสพกลับเมือง
จากนิทานตำนานในท้องถิ่นต่างๆ ที่เล่าต่อกันมา จะเห็นได้ว่าความเชื่อเรื่องแม่โพสพเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยก่อนหันมารับนับถือพุทธศาสนาแสดงให้เห็นการประนีประนอมระหว่างความเชื่อทั้งสองเพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญของชุมชน
(แหล่งอ้างอิง : กรมวิชาการเกษตร. 2541. ข้าวกับฅนไทย. สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร. หน้า 93-99)
ตำนานแม่โพสพของชาติอื่น
นอกจากพระแม่โพสพ ที่เป็นเทพเจ้าแห่งข้าวตามคติความเชื่อของไทยแล้ว ยังมีเทพเจ้าแห่งข้าวที่ใกล้เคียงกับพระแม่โพสพคือ เทวีศรี ซึ่งเป็นเทพแห่งข้าวตามความเชื่อของชาวชวา, ซุนดา และบาหลี ในประเทศอินโดนีเซีย และ โปอีโนนอการ์ (Po Ino Nogar) เทพเจ้าแห่งข้าวตามคติชนของประเทศกัมพูชา
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของศาสนาบรรพกาลของไทยและเอเชียอาคเนย์ หรือที่บางคนอาจเรียกติดปากว่าศาสนาผี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น