วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผีกับพุทธ ศาสนาของคนไทย

โดย อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม

เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เกิดความไม่มั่นคงต้องหาที่ยึด ทีนี้ความเป็นมนุษย์ถ้าเกิดความไม่มั่นคงขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งที่เขายึดได้คือความเชื่อ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดเดือดร้อนขึ้นตรงนี้ ก็หันไปหาความเชื่อ ทีนี้ความเชื่อนี้มันมีสองชนิดด้วยกัน มีศาสนาและไสยศาสตร์ เวลาคนหันไปหาความเชื่อขณะนี้ ในสังคมไทยถ้ามามองแล้ว ความเชื่อนั้นอิงไปทางไสยศาสตร์มากกว่าเป็นศาสนา เพราะฉะนั้นผมต้องอธิบายว่าศาสนาและไสยศาสตร์มันต่างกันอย่างไร

ทั้งศาสนาและไสยศาสตร์เป็นความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติเหมือนกัน และศาสนาหมายถึงความเชื่อที่คนสยบต่ออำนาจที่เหนือธรรมชาติ เมื่อสยบต่ออำนาจเหนือธรรมชาติก็ยอมอยู่ในกติกา พูดง่ายๆ ว่าอยู่ในจารีตประเพณี ระเบียบ และศีลธรรม อันนี้ความหมายทางศาสนาอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นศาสนานั้นมีความหมายหนึ่ง ตอบสนองความทุกข์ทางจิตใจของคน เวลาเรามีเรื่องทุกข์ร้อนเราก็วิ่งไปหาศาสนา นั้นคือความหมายตามที่ศาสนาสอน

อันที่สอง ศาสนาทำให้มนุษย์อยู่เป็นกลุ่มเหล่า มีกำลังใจที่จะอยู่เป็นกลุ่ม เป็นการตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์สังคม แต่ว่าความเชื่ออันนี้มันไม่มีอยู่ในตัว มันมีความเชื่ออีกชนิดหนึ่ง เป็นความเชื่อที่ว่าจะใช้อำนาจเหนือธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ในเชิงเป็นเทคโนโลยี ตัวศาสนานี้คือตัวองค์ความรู้ทั้งหมด แต่จะทำอย่างไรให้บรรลุในแง่ตอบสนองความต้องการได้ ก็หันมาใช้ไสยศาสตร์

ไสยศาสตร์เหมือนกับเทคโนโลยี ทีนี้เมื่อไสยศาสตร์มันเกิดเป็นดาบสองคมขึ้นมา คือ ถ้าใช้ผิดก็อันตรายอย่างที่เราใช้เทคโนโลยี ถ้าใช้ผิด บ้านเมืองพัง ใช่ไหมครับ คือไม่ใช่เทคโนโลยีที่เหมาะสม แล้วไสยศาสตร์ก็เหมือนกันถ้าไม่ใช้ในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ก็เกิดภาวะที่เดือดร้อนขึ้น แล้วจากไสยศาสตร์ที่เรียกว่าเป็นเทคโนโลยีมันมีทั้งไสยขาวและไสยดำ

ถ้าไสยขาวคือทำไปในทางที่ดี อย่างเช่นเรื่องของพิธีทางพราหมณ์ อย่างทำอะไรเพื่อความเป็นสวัสดิ์มงคล ที่เรานำพราหมณ์มาใช้ เป็นพิธีที่เป็นไสยขาวมาก

แต่ถ้าเป็นไสยดำ เสน่ห์ยาแฝด คุณไสยแช่งด่าเขาอย่างนี้ นี่เป็นไสยศาสตร์ หรือว่าต้องการรวยทั้งๆ ที่ตัวไม่มีศีลธรรม ไปเอาอำนาจเหนือธรรมชาติมาใช้ หาเครื่องรางของขลังต่างๆ เหล่านี้มา ทำให้ร่ำรวยขึ้นมา อันนี้เป็นไสยศาสตร์

ไสยศาสตร์เป็นเรื่องปัจเจก ตอบสนองความต้องการของคนที่เป็นปัจเจก แต่ถ้าศาสนาไม่ใช่ ศาสนาเป็นสิ่งที่คนสยบ แต่ว่าไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่คนเอาไปใช้

เพราะฉะนั้นเวลาเรามองปรากฏการณ์ทางสังคม เมื่อคนหันกลับไปหาความเชื่อ ต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นศาสนาหรือไสยศาสตร์ ขณะนี้ในความคิดของผม ผมคิดว่าศาสนามันมีน้อยเหลือเกิน เพราะว่าคนหันไปเล่นไสยศาสตร์กันมาก อย่างจตุคามรามเทพเห็นชัด ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพนั้น เมื่อแรกสร้างเทพองค์นี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางจิตใจ ให้เกิดความมั่นคงในชีวิต แต่เมื่อทำมากๆ ขึ้น มันเพี้ยนไปทางไสยศาสตร์ รวยตะบันเลย

ผมเคยพูดว่ามีกูแล้วมึงไม่จน อันนี้เป็นไสยศาสตร์ ถ้ามีกูแล้วมึงไม่โกงนี่เป็นศาสนา อันนี้คือสิ่งที่เราเห็น ฉะนั้นเวลาเรามองความเชื่อมันก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้กับความเชื่อ แล้วความเชื่อเป็นสิ่งที่สมมุติทั้งนั้น แต่มนุษย์เชื่อว่าเป็นจริง แล้วมนุษย์เป็นสัตว์ประหลาดมาก เพราะในชีวิตของมนุษย์พึ่งตัวเองไม่ได้ แม้กระทั่งชีวิตประจำวัน ต้องพึ่งคนอื่น ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนใช่ไหม กับครอบครัว เรื่อยมา ชุมชน ญาติพี่น้อง เป็นบ้านเมืองเป็นประเทศไปเลย

อีกอันหนึ่งมนุษย์มีจิตใจอ่อนไหวมาก ในเรื่องจิตใจสำคัญมาก ถ้ามนุษย์มีปัญหาเรื่องจิตใจต้องหันไปหาความเชื่อ เพราะว่ามันอธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์ความเชื่อในสังคมไทยขณะนี้มันสะท้อนให้เห็น เนื่องจากความไม่มั่นคงในจิตใจและความเป็นมนุษย์ จึงเกิดการเคลื่อนไหวตรงนี้ขึ้นมาในระบบความเชื่อ แล้วระบบความเชื่อแบบนี้เมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นอย่างทางตะวันตก เขาเชื่อน้อยกว่าเรา แล้วมาคุยว่าเป็นประเทศที่ก้าวหน้าทางวัตถุ ประชาธิปไตยจ๋า มีตึกรามบ้านช่องใหญ่ๆ แต่คุณหนีไม่พ้นระบบความเชื่อหรอก นี่คืออัตลักษณ์ของคนไทย ไม่เชื่อดูตามอาคารใหญ่ๆ ศาลเทพศาลผีเต็มเลย อย่างโรงแรมใหญ่ๆ เอาระดับสูงเอาศาลพระพรหม ที่ตรงปิ่นเกล้าฯ มีเทพชั้นสูง ศาลพระศิวะ ทุกวันนี้ไม่มี ในสังคมเมืองตามบ้านเรือนมีแต่ศาลพระภูมิเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีทั้งศาลพระพรหมมากมาย นี่คือลักษณะของสังคมไทย

ท่ามกลางความเจริญทางวัตถุแบบตะวันตก แต่คุณก็ยังมีสิ่งที่เป็นดั้งเดิมอยู่คือความเชื่อ แล้วนับวันมันจะเพิ่มพูนขึ้นมา แล้วสิ่งที่ท่านเห็นในเมืองนี้มีผีมากกว่าในชนบทอีก ซึ่งประเดี๋ยวผมจะพูดถึงเรื่องด่านซ้าย

ในชนบทท่านจะเห็นว่าในหมู่บ้านนี้มีผีอยู่สามระดับด้วยกัน ผีที่เป็นหลักคือผีเรือน ในเรือนจะต้องมีผีดูแล เพราะฉะนั้นหนุ่มๆ ต่างถิ่น พอเข้าไปบ้านเขา เขาตีหัวเอานะ ถ้าหากว่าเข้าไปอย่างผลีผลาม คือ ผิดผี อย่างพวกโซ่งนี่ เข้าไปไม่ได้ เขาต้องอนุญาตผีเรือนก่อน นั่นเป็นระดับผีเรือน แต่ผีเรือนนี้จะไม่ปรากฏรูปร่าง เขาจะอยู่ที่เสาบ้างอะไรบ้าง มันเป็นสัญลักษณ์มากกว่า

ถัดจากผีเรือนก็คือ ผีบ้าน คือผีชุมชน อย่างทางภาคอีสานเห็นไหมมีผีปู่ตา นี่เป็นผีชุมชน ชุมชนหมู่บ้าน ถ้าเป็นชุมชนเมืองก็มีผีเมือง ผีเมืองคือมเหศักดิ์หลักเมือง เป็นผีประจำเมืองเลย แล้วเขาเชื่อว่าผีประจำเมืองคือ วิญญาณเจ้านายสูงศักดิ์ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ผีบ้านคือวิญญาณของปู่ย่าตายาย แต่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้นระดับผีบ้านคือปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษที่ไม่ปรากฏตัว แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นผีเมืองคือผีเจ้านาย ทางภาคเหนือมีผีเจ้านายเห็นไหม ลาวมีผีมเหศักดิ์ มเหศักดิ์หลักเมือง จะมีศาลตรงนั้น นี่คือสังคมในชนบทที่มีอยู่ 

เพราะฉะนั้นเรื่องความเชื่อเรื่องผีนี่ชัดเจน แต่ว่าในชนบทนั้นไม่ได้มีผีอย่างเดียว จะเห็นว่าตามวัด ชุมชนที่สำคัญที่สุด ความเป็นชุมชนจะรวมศูนย์อยู่ที่วัด ชื่อวัดกับบ้านนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะฉะนั้นในความเชื่อของคนในชนบทนั้น มีผีและมีพุทธด้วย

แต่พุทธเหมือนร่มเงาใหญ่ ผีอยู่ภายใต้พุทธ แล้วในแผนการพัฒนาบ้านเมืองมาแต่เดิมถ้ามองในชนบท ผีค่อยๆ มาเป็นสาวกของพุทธมาก่อน วัดบางแห่งมีเสื้อวัด เพราะฉะนั้นผีกับพุทธจึงอยู่ด้วยกัน และเป็นลักษณะที่เรียกว่าศาสนา เพราะคนสยบต่อสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ แล้วอยู่ในกติกา เพราะฉะนั้นเวลานี้ในชนบท ผีคือผู้ที่รักษาทรัพยากร การใช้น้ำ การใช้ป่า พื้นที่สาธารณะ คุณก็ไปไหว้กราบผี ถ้าคุณ ประพฤติผิด ผีลงโทษ พังหมดเลย

เพราะฉะนั้นชนบทมีพลัง และทำให้สังคมไทยจรรโลงอยู่ได้ ผีคือสิ่งที่จรรโลงความมั่นคงของคนในโลกนี้ เจ็บไข้ได้ป่วยกลุ่มเด็ก หาผี นักศึกษาผู้รู้ ผู้รู้ก็ใช้ไสยศาสตร์บางอย่าง เอามาใช้เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลขึ้นมา แล้วผีช่วยในการสำหรับโลกนี้ บรรเทาความเดือดร้อน โดยเฉพาะการจัดทรัพยากรธรรมชาติ อย่างป่าบางป่าที่เราดัดจริตเรียก ป่าชุมชน เราดัดจริตนะ ที่จริงป่าเหล่านั้นเป็นป่าสาธารณะ มันมีชื่อ มันไม่ใช่ป่าชุมชน อย่างป่านางรำอะไรพวกนี้ อย่างเขตแถวๆ อุทัยธานี คำว่านางรำมันเป็นชื่อ มีตำนาน แล้วมีผีดูแล เพราะฉะนั้นถ้าใครเข้าไปในป่า ไปทำลาย ไปใช้ทรัพยากรเกินตัว ผีลงโทษ เพราะผิดกติกา ผิดขึด ผิดขะลำก็มีปัญหาขึ้นมา เพราะฉะนั้นทำให้เกิดการควบคุมทรัพยากร ผีควบคุมและคอยดูแล

สังคมในชนบทแต่เดิมอยู่ด้วยแบบเศรษฐกิจพอเพียง เอื้ออาทรแบบที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพูด ถ้าใครไปใช้มากผีลงโทษ มันอยู่ด้วยกติกา เพราะฉะนั้นในชนบทผีเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ปฏิเสธพุทธ ผีเป็นสาวกของพุทธ

ในสังคมภาคกลาง เมื่อคนลาวเข้ามาอยู่ในภาคกลางมีตัวเปลี่ยนพฤติกรรม เอาผีมาเหมือนกัน แต่เวลาเซ่นผีบ้าน ผีปู่ตา เขาจะไม่ฆ่าไก่หรือหมูพวกนั้นเซ่น เขาจะทำบุญในวัด แล้วก็กรวดน้ำไปให้ผีปู่ตาหมดเลย ผีปู่ตาก็อยู่ในวัด แล้วอันนี้ทำให้วัดเป็นศูนย์กลางของความเชื่อทั้งผีและพุทธ แต่ผีอยู่ภายใต้พุทธศาสนา ผีเป็นผู้พิทักษ์พุทธศาสนาด้วย

เพราะฉะนั้นการนับถือศาสนาของคนไทยในชนบทเป็นอย่างนี้มาตลอด เชื่อหรือไม่เชื่อท่านไปดู พระสงฆ์องค์เจ้าก็รู้ว่าวาระไหนที่ใช้ผี วาระไหนที่จะอธิบายเรื่องพุทธ สังคมไทยในชนบทเป็นสังคมที่มีดุลยภาพ มีดุลยภาพเพราะอะไร พอคุณต้องการพึ่งความเดือดร้อนทางโลก โลกนี้นะคุณก็ไปหาผี ถ้าหากว่าจะพึ่งโลกหน้า ผีเอาไม่อยู่ พุทธดีกว่า

อ่านทั้งหมดที่  http://www.lek-prapai.org/watch.php?id=825 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น