วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตะลึง! ประติมากรรม “พระเยซู” เปลือย


ตะลึง! ประติมากรรม “พระเยซู” เปลือย


ฤดูกาลอีสเตอร์ในนิวยอร์กปีนี้ เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวประติมากรรมที่ทำจากช็อคโกแลตเป็นรูปพระเจ้า ที่ตั้งชื่อผลงานนี้ว่า "มาย สวีท ลอร์ด" ทว่าทำให้กลุ่มคาทอลิกโกรธเป็นไฟเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ศาสนา กับวิทยาศาสตร์ โดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(บทความ ลง นิวยอร์ก ไทมส์ ค.ศ. 1930)

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์กระทำและคิดนั้น จะเกี่ยวข้องกับสองเรื่องสำคัญเสมอ นั่นคือ ความต้องการและความเจ็บปวด โดยในส่วนของ “ความต้องการ” นั้น มักจะเป็นความรู้สึกพอใจว่าหากได้มาในสิ่งที่ต้องการตนจะเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งของ “ความเจ็บปวด” นั้นจะเป็นความคิดว่า ทำอย่างไร เราจึงจะผ่อนคลายความเจ็บปวดลงได้ ดังนั้น หากเราต้องการรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณ หรือเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์อย่างแท้จริง เราต้องศึกษาเรื่องความเต้องการและความเจ็บปวดของคนเราให้ดี ทำนองเดียวกัน เรื่องนี้สามารถใช้ศึกษาถึงที่มาของความเชื่อและศาสนาได้เช่นกัน อะไรคือสิ่งที่เป็นบ่อเกิดของศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ

ในสมัยที่คนเรายังอยู่ในถ้ำ ศาสนาก็ได้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นแล้ว โดยมีเหตุมาจากการกลัวอดอยาก ความกลัวในภยันตรายจากสัตว์ป่า การเจ็บไข้ และการกลัวความตาย แท้จริงแล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ คนสมัยก่อนเกรงกลัวนั้น ล้วนแต่มีความเกี่ยวพันและเป็นเหตุเป็นผลด้วยกันทั้งสิ้น แต่คนในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ความเข้าใจดีพอ เรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเขานั้นเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นดังนี้ พวกเขาจึงเกิดภาพหลอนขึ้นมาเพื่ออธิบายว่าปัญหาแต่ละอย่างเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด และพวกเขาก็รับมรดกจากคนรุ่นก่อนมาว่า หากมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แก่ภาพหลอนนั้นแล้ว สิ่งที่ตนเองเกรงกลัวก็จะหมดไป นั่นคือที่มาของการบูชายัญ ดังนั้น ศาสนาที่เกิดขึ้นมาในสมัยโบราณจึงเป็นศาสนาแห่งความกลัว

ภายใต้ความคิดความเชื่อเช่นนี้จึงได้เกิดชนชั้นหนึ่งขึ้นมา กลุ่มคนนี้เป็นพวกพิเศษไปจากคนอื่น เนื่องจากสามารถเป็นตัวเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่มนุษย์เกรงกลัวได้ คนกลุ่มนี้คือชนชั้นนักบวช และต่อมาได้มีความพยายามที่จะใช้ชนชั้นปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบพิธีกรรมของนักบวชด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ชนชั้นปกครองเกิดความเชื่อมั่น และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ดังนั้น ชนชั้นปกครอง และนักบวช จึงเริ่มมีความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

นอกจากปัจจัยด้วยความกลัวที่ทำให้เกิดศาสนาขึ้นมาแล้ว ปัจจัยทางสังคมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเร่งให้ศาสนาตกผลึกเป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้น คำอธิบายในประเด็นนี้ คือ มนุษย์ที่เป็นเพียงพ่อหรือแม่ หรือผู้นำในสังคมนั้น ล้วนแล้วแต่เจ็บป่วย และตายได้ด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งนี้จึงทำให้มนุษย์ต้องการความรักและการดูแลเอาใจใส่จากผู้อื่นที่น่าจะมีอำนาจเหนือกว่า และนี่คือที่มาของ “พระเจ้า” พระเจ้าของคนสมัยก่อนจึงถูกคาดหมายให้มอบความรัก ให้ช่วยเหลือมนุษย์ รวมทั้งดูแลวิญญาณของมนุษย์เมื่อผู้นั้นตายลง ศาสนาในยุคนี้จึงถือว่าเป็นศาสนาแห่งกำลังใจ ซึ่งเปลี่ยนไปจากช่วงแรกของการเกิดศาสนาแห่งความกลัว

ในคัมภีร์ของชาวยิวและในคัมภีร์ไบเบิลต่างแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พัฒนาการของศาสนานั้น เริ่มจากศาสนาแห่งความกลัวมาสู่ศาสนาแห่งกำลังใจเช่นที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง และโดยเฉพาะในตะวันออก ศาสนาของพวกเขาจะเห็นได้ชัดว่าเป็นศาสนาแห่งกำลังใจ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ทุกศาสนาล้วนแต่เป็นส่วนผสมของรูปแบบทั้งสองด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าศาสนาใดจะมีส่วนผสมอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกศาสนามีเหมือนกันหมดคือ ความคิดที่ว่า พระเจ้านั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าพเจ้าแล้วยังมีอีกรูปแบบหนึ่งของศาสนาที่แตกต่างไปจากศาสนาทั่วไป เพราะศาสนานี้ไม่ได้มีความคิดที่ว่าพระเจ้ามีรูปร่างที่มองเห็นได้เช่นมนุษย์ และเมื่อพระเจ้าไม่มีรูปร่างที่สมองสัมผัสได้เช่นนั้นแล้ว การจะอธิบายถึงรายละเอียดของศาสนาจึงกระทำได้ยากยิ่ง ซึ่งข้าพเจ้าอยากเรียกศาสนานี้ว่า “ศาสนาแห่งจักรวาล”

แนวคิดเกี่ยวกับศาสนาแห่งจักรวาลนี้แท้จริงแล้วมีหลักฐานปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่สมัยของเดวิด และในคำพยากรณ์แต่โบราณรวมทั้งปรากฏให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมากในศาสนาพุทธ

คำถามที่สำคัญคือ หากว่าศาสนาแห่งจักรวาลไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับรูปร่างของพระเจ้า และไม่มีแนวคิดของเทววิทยาแล้ว เราจะสื่อสารและสร้างความเข้าใจในศาสนาแห่งจักรวาลนี้ได้อย่างไร? สำหรับข้าพเจ้าแล้วขอตอบว่า มันเป็นหน้าที่ของศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่จะต้องกระตุ้นให้สังคมได้รู้จักและสืบทอดศาสนาในรูปแบบนี้ต่อไป

อีกคำถามหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสิ่งน่าสนใจก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้นเป็นอย่างไร ? เรื่องนี้อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันอยู่มากมาย เช่น หากเรามองเข้าไปในประวัติศาสตร์ เราอาจจะเห็นว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ เป็นเสมือนน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ ไม่มีความผสมกลมกลืนระหว่างกันโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เชื่ออย่างฝังหัวในกฎของเหตุและผล ด้วยเชื่อว่าผลเป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำแล้ว จะมองว่า พระเจ้านั้นไม่มีความหมาย เพราะว่าพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลใจของพระเจ้า แต่เกิดจากความต้องการความจำเป็นของมนุษย์เอง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการภายในหรือภายนอกก็ตาม

ดังนั้น ในทางกลับกัน ผู้คนที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในศาสนาจะกล่าวโจมตีวิทยาศาสตร์ว่าเป็นตัวบ่อนทำลายศรัทธาของผู้คนเพราะคอยแต่กล่าวอ้างว่า พฤติกรรมของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า รวมทั้งชี้ให้เห็นว่า ชีวิตที่ปราศจากความกลัวว่าจะถูกลงโทษหลังความตาย หรือชีวิตที่ไม่คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนสำหรับการกระทำความดี ล้วนเป็นชีวิตที่เลวร้ายของผู้นั้น

ด้วยมุมมองที่ต่างกันเช่นนี้ จึงทำให้ศาสนจักรในสมัยก่อนโจมตีวิทยาศาสตร์ และประหัตประหารผู้ที่ฝักใฝ่วิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าพเจ้าแล้วยังยืนยันว่า วิทยาศาสตร์และศาสนานั้นสามารถกลมกลืนเข้ากันได้ โดยเฉพาะหากศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่งจักรวาลเช่นที่ว่า มิใช่ศาสนาแห่งความกลัว หรือศาสนาแห่งกำลังใจ และเมื่อนั้น ผู้ที่คร่ำเคร่งกับงานวิทยาศาสตร์จะเป็นผู้ที่เคร่งศาสนาอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน


ศาสนากับวิทยาศาสตร์ 2 โดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (คำปราศรัยที่นิวยอร์ก ค.ศ. 1941)

ในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือแม้แต่ในช่วงหนึ่งของศตวรรษที่ 18 ได้มีความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า ความรู้กับความเชื่อ เป็นสิ่งที่ลงรอยกันไม่ได้ ผสมผสานเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกันไม่ได้ ต่อมาสำหรับผู้ที่รำ่เรียนสูงขึ้นหรือมีหัวก้าวหน้า ก็ได้เปลี่ยนมุมมองไปอีกว่า ความเชื่อจะเริ่มถูกทดแทนด้วยความรู้ รวมทั้งเห็นว่า ความเชื่อที่ปราศจากความรู้ย่อมกลายสภาพเป็นความงมงาย ดังนั้น หากเป็นไปเช่นแนวทางนี้ หน้าที่หลักของการศึกษาก็คือ การฝึกมนุษย์ให้รู้จักคิดและมีความรู้มากขึ้น

แม้ว่าจะยากอยู่สักหน่อย แต่บางคนก็อาจจะมองเห็นว่า แนวคิดข้างต้นนั้นเป็นการมองปัญหาเพียงด้านเดียว แง่มุมเดียวและเป็นการวิเคราะห์อย่างหยาบ ๆ เท่านั้น การที่เราจะให้คำตัดสินในเรื่องใดนั้น เราจำต้องมีทั้งประสบการณ์และความคิดที่เฉียบแหลมเกี่ยวกับปัญหานั้น

วิทยาศาสตร์นั้นสอนอะไรแก่เรา? โดยตัวข้าพเจ้าเองแล้วเห็นว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากวิทยาศาสตร์ก็คือ การที่เราได้เรียนรู้และเข้าใจว่่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เกี่ยวข้องและเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน แต่สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องการย้ำ ณ ที่นี้ก็คือ การที่เรารู้ว่าาสิ่งใด เป็นอยู่หรือเป็นอะไร (what is ) นั้น ยังไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความรู้มาโดยทันทีว่า สิ่งที่ควรเป็น (what should be) นั้นคืออะไร หากจะพูดอย่างง่าย ๆ ก็คือ มนุษย์เราอาจจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างแจ้งชัดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น รู้ว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร แต่แม้ว่าเราจะรู้มากมายถึงขนาดนั้น เราก็ยังอาจไม่รู้ว่าเป้าหมาย หรือความปรารถนาของมนุษย์นั้นคือสิ่งใด ความรู้ที่ปราศจากอคติย่อมนำมาซึ่งเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้มนุษย์ไปถึงเป้าหมายได้ แต่เครื่องมือเช่นว่านั้นไม่ได้เป็นตัวบอกเราว่าเป้าหมายของมนุษย์คือ อะไร หรืออยู่ที่ไหน ดังนั้น เป้าหมายและเครื่องมือจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีทั้งสองอย่าง และต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน หรออาจพูดได้ง่าย ๆ ว่า การที่เราจะไปถึงเป้าหมายใดได้นั้น เราต้องมีเครื่องมือ

ดังนั้น ในมุมมองของข้าพเจ้า ความสำคัญยิ่งของศาสนาทุกศาสนาก็คือ การช่วยให้สังคมมนุษย์ได้รู้และเข้าใจว่า เป้าหมายและแก่นสารของชีวิตคืออะไร และแก่นสารของชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำต้องมีใครมากำหนดหรือบีบบังคับ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว มนุษย์เราเพียงแต่ต้องตระหนักถึงมันเท่านั้น อีกนัยหนึ่งก็คือ เป้าหมายของชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา หากเป็นเพียงสิ่งที่ต้องถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้นเอง จารีตประเพณีของศาสนาคริสเตียน - ยิวแต่ครั้งเก่าก่อน ก็ได้วางแนวทางไว้ในลักษณะนี้เช่นกัน

ข้าพเจ้าเชื่อว่า เป้าหมายสูงสุดของเราแต่ละคนนั้น เป็นเรื่องของการรับใช้ผู้อื่น มากกว่าการบีบบังคับผู้อื่นให้กระทำในสิ่งที่เราต้องการ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นต่อไปว่า หน้าที่หลักของสถานศึกษานั้นคือการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้เข้าไป อยู่ในสายเลือดของเด็ก ๆ ให้พวกเขาได้เข้าใจว่า เป้าหมายของชีวิตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่ต่างจากอากาศที่เราสูดเข้าไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

หากว่า ความจริงเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตนี้ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน เราก็คงตองยอมรับต่อไปเช่นกันว่า อารยธรรมของมวลมนุษย์ในขณะนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายที่ใหญ่หลวง ประการหนึ่งก็เพราะประเทศที่เป็นอำนาจนิยมกำลังทำลายจิตวิญญาณของมนุษยชาติ ด้วยความคลั่งชาติ ด้วยภาวะที่ไร้ขันติธรรม และด้วยการข่มเหงผู้อื่นทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้กำลังทำลายล้างประเพณีที่ทรงคุณค่าของเราลงไป

ปัจจุบัน ข้าพเจ้าเห็นว่าคนเราได้ตระหนักถึงอันตรายเช่น นี้มากขึ้น ทั้งในระดับประเทศและในแวดวงนานาชาติ การจัดองค์กรและตรากฏหมายใหม่ ๆ ออกมาจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ อย่่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังเห็นว่า เครื่องมือหรือกลไกใดๆ ก็ตามที่ปราศจากจิตวิญญาณ เครื่องมือหรือกลไกนั้นย่อมไร้ซึ่งประสิทธิภาพ และถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนจะต้องเติมจิตวิญญาณลงไปในกลไกของมนุษยชาติ เพื่อเยียวยาปัญหาต่าง ๆ

เมื่อคุยกันในเรื่องวิทยาศาสตร์ เราพอจะเข้าใจขอบเขตของมันได้ไม่ยากนัก หลายคนคงพอรู้ว่า วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ตกทอดกันมาหลายร้อยปี เป็นศาสตร์ที่สอนให้เรารู้จักคิดอย่างเป็นระบบ หัดให้เรารู้จักนำปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเข้าสู่กระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมีเหตุผลที่อธิบายได้ แต่หากว่าใครสักคนมาถามข้าพเจ้าว่ารู้หรือไม่ว่าศาสนาคืออะไร ข้าพเจ้ากลับหาคำตอบได้ไม่ง่ายนัก และไม้ว่าจะพอมีคำตอบที่ตนเองพอใจในระดังหนึ่ง ก็จะเป็นคำตอบที่พอใช้ได้ในชั่วขณะนั้นเท่านั้นเอง ศาสนาจึงเป็นเรื่องต้องคิดอย่างรอบคอบ

สิ่งแรกที่ควรถามนั้นอาจจะไม่ใช่คำถามที่ว่า ศาสนาคืออะไร? แต่น่าจะเป็นคำถามที่ว่า อะไรคือแรงดลใจให้คนใดคนหนึ่งหันมานับถือศาสนา? เท่าที่มองเห็น ผู้ที่นับถือศาสนานั้นคือผู้ที่ปลดปล่อยตนเองจากความเห็นแก่ตัว และมีความคิดที่ลึกซึ้ง เป็นผู้ที่ให้ความหมายแก่ชีวิต มองหาแก่นสารของชีวิต ชีวิตของผู้ที่นับถือศาสนา จึงย่อมมีชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล มีความชัดเจน มีสติ และรู้จัดคิดอย่างแท้จริง

ศาสนาจึงเป็นเรื่องของการแสวงหาคุณค่าและเป้าหมายของชีวิต อีกทั้งปรารถนาให้เป้าหมายหรือแก่นสารของชีวิตนั้นเกิดขึ้นจริงกับเหล่าผู้คน สิ่งนี้คือแนวทางของศาสนาที่เป็นมาแล้วนับร้อยปี ดังนั้น เมื่อเรานำศาสนากับวิทยาศาสตร์มาเปรียบเทียบกันก็สามารถสรุปได้ว่า วิทยาศาสตร์และศาสนานั้นไม่มีข้อขัดแย้งกันแต่อย่างใด

แต่ความแตกต่างระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็มีอยู่ เพราะวิทยาศาสตร์นั้นสอนให้เรารู้ว่า สิ่งทีเป็นอยู่ (what is) นั้น มีอยู่หรือไม่ และสัมพันธ์์กับสิ่งอื่นอย่างไร แต่ไม่ได้บอกเราว่า สิ่งที่ควรเป็น (what should be) คืออะไร แต่สำหรับศาสนานั้น จะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของแต่ละสิ่งในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงเหมือนเช่นที่วิทยาศาสตร์สอน แต่ศาสนาจะสอนให้เราประเมินความคิดและการกระทำของมนุษย์

ดังนั้น ความคิดหรือความเชื่อที่ว่าวิทยาศาสตร์และศาสนานั้น เป็นสองสิ่งที่ขัดแย้งกันตลอดเวลา และไม่มีที่จะประสานเข้าด้วยกันได้ จึงเป็นการตีความหมายที่ผิดพลาด

ในอดีต ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาได้สร้างความน่าหดหู่มาแล้วหลายครา ตัวอย่างเช่น หากมีชุมชนใดสักแห่งที่เคร่งศาสนาอย่างแรงกล้าออกมายืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริงทั้งหมด เมื่อนั้นก็อาจพิจารณาได้ว่า ศาสนาได้ก้าวล้ำเข้าไปในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และสร้างความขัดแย้งระหว่าง ความเชื่อทางศาสนากับวิทยาศาสตร์เหมือนเช่นที่ กาลิเลโอ และดาร์วินเคยประสบมาก่อน

แต่ในทางตรงกันข้าม ในหลายกรณีวิทยาศาสตร์ได้กลับเป็นฝ่ายล้ำเส้นของศาสนา เช่นการพยายามเข้าไปกำหนดหรือตัดสินว่า คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์นั้นคืออะไร เป็นอย่างไร หรือมีอยู่หรือไม่ เมื่อเกิดความล้ำเส้นเช่นนี้ ก็เท่ากับทำให้ฐานะของวิทยาศาสตร์ตรงกันข้ามกับศาสนาไปโดยทันที และความขัดแย้งเช่นนี้ก็นำมาซึ่งความหดหู่อย่างที่ข้าพเจ้าเอ่ยมาแล้ว

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมองว่า ทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้น ต่างก็มีเส้นขอบของตนเองและอย่างชัดเจน แต่กระนั้น ศาสตร์ทั้งสองนี้ต่างก็เชื่อมเข้าหากันอย่างดีในหลายแง่มุม และขณะเดียวกันก็กลับมามีความเป็นเอกเทศจากกันในบางแง่มุม ตัวอย่าง คืออะไร แต่ศาสนาก็ต้องเรียนรู้จากวิทยาศาสตร์ด้วย นั่นคือ ศาสนาต้องหาเครื่องมือหรือวิธีการเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่ต่างไปจากวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกัน วิทยาศาสตร์ก็เวียนว่ายอยู่กับการค้นหาความจริง และความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสรรพสิ่ง ซึ่งการค้นหาเช่นว่านี้จะสำเร็จไปไม่ได้ หากผู้นั้นไม่มีศรัทธาของการค้นคว้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงยังไม่่เคยพบมาก่อนเลยว่า นักวิทยาศาสต์ที่แท้จริงนั้นเป็นผู้ที่ขาดศรัทธาหรือความเชื่อมั่น ดังนั้น เราจึงอาจเปรียบเปรยได้ว่า วิทยาศาสตร์ทีปราศจากศาสนาย่อมง่อยเปลี้ย และศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์ย่อมมีดบอด

แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีความเห็นว่า โดยแท้จริงแล้ววิทยาศาสตร์และศาสนานั้นไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างกัน แต่ข้าพเจ้าก็จำต้องย้ำให้เห็นถึงสาระของศาสนาเมื่อแรกกำเนิดด้วยว่า ลักษณะสำคัญของศาสนาเมื่อแรกเริ่มนั้นก็ด้วยจินตนาการของมนุษย์เท่านั้นเอง อีกทั้งมนุษย์ในอดีตอีีกเช่นกันที่เป็นผู้เลือกสร้างอำนาจให้แก่พระเจ้าแต่ละองค์ตามอำเภอใจของตนเอง ด้วยการบูชาและบวงสรวง ดังนั้น ความคิดของพวกเราในปัจจุบันในส่วนที่เกี่ยวกับพระเจ้านั้นจึงเป็นมรดกทางความคิดอันเก่าแก่ในอดีต สิ่งตกทอดที่เราเห็็นกันได้ชัดก็คือ ความรู้สึกที่ว่าพระเจ้านั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ และเราสามารถสวดมนต์ อ้อนวอน ขอสิ่งที่เราปราถนาจากพระเจ้าได้ เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดจะคัดค้านว่าพระเจ้าของมนุษย์ซึ่งทรงไว้ซึ่งมหิทธานุภาพ และความเป็นธรรมนั้น ความคิดเช่นนี้ก็ได้ประโลม และเป็นเสมือนแสงนำทางให้แก่มนุษย์ แต่ความคิดเช่นนีี้ก็ได้แทรกความอ่อนแอที่สร้างความเจ็บปวดไว้ตั้งแต่แรกเริ่มของประวัติศาสตร์เช่นกัน นั่นคือ หากมนุษย์คิดและเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างของตน ความคิดอ่าน ความรู้สึก ตลอดจนความปรารถนาในสิ่งใด ๆ ของมนุษย์เป็นเพราะพระเจ้าพึงประสงค์เช่นนั้นแล้ว ถ้าเช่นนั้น เหตุใดมนุษย์จึงคิดว่าตนต้องรับผิดชอบต่อความคิดและการกระทำของตนเอง? ทำไมจึงไม่คิดว่าสิ่งนั้น ๆ ต้องเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้าเสียเอง? และในการที่พระเจ้าประทานรางวัลหรือลงโทษมนุษย์นั้น จะมิได้หมายความว่าพระเจ้าได้พิจารณาการกระทำของพระองค์เอง และตัดสินว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือผิดพลาดหรือ? (จึงจำต้องได้รับรางวัลตอบแทน หรือการลงโทษแล้วแต่กรณี)

ดังนั้น หากมองให้แคบลงก็อาจกล่าวได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนานั้นอยู่ในเรื่องของพระเจ้าเป็นหลัก วิทยาศาสตร์นั้นมีเป้าหมายเพื่อการค้นหาความจริงว่า เหตุการณ์กับวัตถุนั้นมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างไร ทั้งในแง่ของเวลาและสถานที่ (time & space) ส่วนศาสนานี้นมุ่งเน้นที่การปลดปล่อยมนุษย์ให้รอดพ้นจากกิเลสและความกลัว ซึ่งโดยนัยนี้แล้ว วิทยาศาสตร์สามารถเข้ามาเสริมศาสนาให้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่ด้วยการทำให้ความเชื่อในพระเจ้ากลายเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์์ผุดผ่อง แต่ด้วยการทำให้ศาสนานี้นมีจิตวิญญาณที่แท้จริง นั่นคือด้วยการสร้างความเข้าใจในหมู่ชนให้ถูกต้องยิ่งขึ้น

อีกนัยหนึ่งก็คือ เส้นทางสู้ความเป็นศาสนิกชนที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เส้นทางที่เต็มไปด้วยความกลัว ความตาย หรือศรัทธา ที่มืดบอด หากแต่เป็นเส้นทางที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความรอบรู้เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นจุดหมายเดียวกับวิทยาศาสตร์นั่นเอง

ขอบคุณบทความจาก
http://my.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=253304&chapter=59
http://my.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=253304&chapter=60

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Cult (ลัทธิเทียมเท็จ)

Cult หมาย ลัทธิเชิงศาสนา ซึ่งมักเน้นถึงความคลั่งในศาสนา ในภาษาคริสเตียนมักแปลว่า "ลัทธิเทียมเท็จ" เรื่องนี้มีปรากฎในทุกศาสนา ในส่วนของคริสตศาสนาก็มีเรื่องเช่นนี้มาตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มความเชื่อที่ผิดไปจากหลักข้อเชื่อของคริสเตียนมากมาย และพวกนี้ก็มักจะอ้างว่ากลุ่มของตน หรือตนเป็นส่วนหนึ่งของคริสเตียน แต่แนวความเชื่อและการปฏิบัติมักจะแสดงออกมาตรงกันข้ามกับคริสเตียนทั่วๆไป

เช่น เขาจะอ้างว่าเขาเชื่อในพระเจ้า..เขามีไบเบิ้ล...เขาพูดถึงพระเยซู ฯลฯ แต่การดำเนินชีวิตต่างจากมาตรฐานคริสเตียนปกติ เช่นมีภรรยาได้หลายๆคน นับถือผู้นำแทนพระเจ้า เชื่อหนังสือที่ผู้นำแต่งแทนพระคัมภีร์ เป็นต้น
จากการตั้งข้อสังเกตส่วนตัวเมื่อศึกษาชีวิตผู้นำของพวก Cults "ลัทธิเทียมเท็จ" มักจะพบว่า พวกเขาจะมาจากคริสตจักรของคณะใดคณะหนึ่งของโปรเตสแตนต์ แล้วมาเปลี่ยนคำสอนเพื่อตอบสนองความคิดความต้องการของตน...
เช่นผู้นำมักมากในกามก็สอนว่ามีภรรยาได้หลายคน สาวกสาวอยากเข้าใกล้พระเจ้าต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้นำ ผู้นำอยากดัง คืออยากมีชื่อเสียง ผู้นำอยากสบาย สาวกต้องหาเงินทองมาสนับสนุนเป็นต้น หรือบางคนมีความต้องการหลายๆอย่างร่วมกัน และสาวกไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบพฤติกรรมเหล่านั้นเพราะเป็นสิทธิที่ผู้นำได้รับจากพระเจ้าโดยตรง เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว บางกลุ่มความเชื่อ เมื่อผู้นำหาเข็มทิศตัวเองไม่เจอ ก็ชวนสาวกฆ่าตัวตาย เช่น

ปี 1978 ลัทธิ The People's Temple นำโดย จิม โจนส์ เขาและสาวกกินไซยาไนท์ที่ประเทศ กาน่า เกือบพันคนเมื่อถึงทางตัน
ปี 1993 ลัทธิ The Branch Davidians หัวหน้าคือ David Koresh ที่เมือง Waco, Texas เผาตัวเองในตึกหลังหนึ่ง ตาย 83 คน
ปี 1994 ลัทธิ Solar Temple สาวกยิงตัวเองตาย 73 คน พบที่ Quebec คานาดา
ต้นปี 1997 ที่เมืองซานดิเอโก สหรัฐ มีศพชาย 18คน และหญิง 21 คน ที่บ้านพักคฤหาสน์...มีหัวหน้าชื่อนายมาแชล แอปเปิ้ลไวท์ อายุ 66 ปีขณะนั้น กลุ่มนี้ใช้มีอาชีพรับจ้างเขียนโอมเพจให้นักธุรกิจ กลุ่มนี้ใช้ชื่อโฮมเพจว่า"เฮฟเวน'สเกต" หรือ "ประตูสู่สวรรค์ " (Heaven's Gate )
และยังมีกลุ่มความเชื่อ ที่สอนผิดและอันตรายอีกมากมายทั่วโลก พวกนี้จะนับถือหัวหน้าหัวหน้าตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง จุดจบของพวกเขาถ้าไปต่อไม่ไหว ก็จะตัดสินใจฆ่าตัวตายหมู่

นอกจากนี้ กลุ่มลัทธิเทียมเท็จในสหรัฐฯหลายๆ กลุ่มจะนำเรื่องมนุษย์ต่างดาว จานผี "UFO"มาเกี่ยวข้อง

กลุ่มที่คริสตจักรไทยฝ่ายโปรเตสแต๊นท์ถือว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จ และได้เข้ามาในไทยแล้ว คือกลุ่มเช่น กลุ่มพยานพระยะโฮวาห์ (Jehovah's Witnesses) กลุ่มมอร์มอน (Mormonism) หรือ สิทธิชนยุคสุดท้าย กลุ่มลัทธิบุตรพระเจ้า/ครอบครัวแห่งความรัก (Children of God/ Family of Love) กลุ่มลัทธิมูน (Unification Church / Moonism) กลุ่มคริสตจักรอัครทูตใหม่ (The New Apostolic Church) กลุ่มคริสเตียนวิทยาศาสตร์ (Christian Science) และบางกลุ่มเราอาจจะไม่เรียกว่าเทียมเท็จแต่เป็นการตกขอบแบบหนึ่ง…

ลักษณะของบุคคลที่เป็นผู้นำลัทธิสอนผิดเหล่านี้ มักจะคล้ายๆ กันคือ ผู้ำนำกลุ่มมักใช้อำนาจอย่างเผด็จการเบ็ดเสร็จ ครอบงำมวลสมาชิก ใช้อำนาจอย่างก้าวร้าว เรียกร้องให้ยอมเชื่อฟังอย่างสิ้นเิชิง เรียกร้องให้ถวายทรัพย์อย่างมากและเคร่งครัด มีโลกทัศน์ที่คิดแคบ ไม่ยอมรับการใช้เหตุผล การโต้แย้ง และการตรวจสอบ

กรณีพระกิตติวุฒโฑ บอกว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป"

พระกิตติวุฒโฑ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าการฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป

27 มิถุนายน พ.ศ. 2519 พระกิตติวุฒโฑ (พระเทพกิตติ ปัญญาคุณ) ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ จตุรัส ว่า การฆ่าพวกคอมมิวนิสต์ไม่บาป แต่กลับได้บุญ เปรียบเหมือนการฆ่าปลาเพื่อตักบาตรถวายพระ
ส่งผลให้ฝ่ายขวานำไปใช้เป็นคำขวัญว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" และก่อให้เกิดความเกลียดชังและเคียดแค้นนักศึกษา จนนำไปสู่การปราบปรามนักศึกษาอย่างรุนแรงในเหตุการณ์ "6 ตุลา 19"
โดยกิตติวุฒโฑให้เหตุผลว่า ใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นมาร มิใช่มนุษย์ ดังนั้นการฆ่าคอมมิวนิสต์จึงไม่บาป แต่เป็นการฆ่ามาร ซึ่งถือเป็นภาระหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องทำ การฆ่านั้นหากเป็นการทำเพื่อประเทศชาติแล้ว แม้จะเป็นบาป แต่ก็ได้บุญในแง่ของการป้องกันประเทศจากศัตรูมากกว่าจะได้บาป
กิตติวุฒโฑเปรียบเทียบการฆ่านี้ว่าเหมือนกับการฆ่าปลาถวายพระ การฆ่าปลาเป็นบาป แต่การนำปลานั้นมาตักบาตรถวายพระ ถือว่าได้บุญมาก

ทั้งนี้กิตติวุฒโฑเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่มีส่วนในการก่อตั้ง “ขบวนการนวพล” ซึ่งเป็นหน่วยสงครามจิตวิทยา ทำงานร่วมกับ "กระทิงแดง" โดย พยายามรวบรวมนายทุนและภิกษุที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ให้ร่วมกันต่อต้านพลังนักศึกษาและกรรมกร นับเป็นขบวนการที่มีส่วนอย่างมากในการปราบปรามนักศึกษาในเหตุการณ์ "6 ตุลา 19" ภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาสที่ วัดจิตตภาวัน จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งจิตตภาวันวิทยาลัย สถาบันการศึกษาทางพุทธศาสนา ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่าสอนหลักธรรมผิดเพี้ยนไปจากแนวทางพุทธศาสนา อีกได้พยายามที่จะสร้างอุโบสถกลางทะเล และระดมทุนก่อสร้างคอนโดธรรมะ แต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็เสียชีวิตไปเสียก่อน เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2548
กรณีธรรมกาย
เรื่องย่อหนังสือ "แฟ้มคดีธรรมกาย "
ที่มา : http://members.tripod.com/~rabob/casenarok.htm

ข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกาย และพระไชยบูลย์ สุทธิผล ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละข้อกล่าวหายังไม่เคยได้รับการดำเนินการให้เกิดความกระจ่าง ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่โดยตรงและจากวัดพระธรรมกาย คงปล่อยให้อึมครึมลี้ลับ เกิดความอึดอัดเอือมระอาแก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก
คณะทำงานรวบรวมข้อมูลหลักฐานกรณีวัดพระธรรมกาย ได้ทำการศึกษา ตรวจสอบ รวบรวม วิเคราะห์ ค้นหา นับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการศาสนาฯ บางครั้งต้องถึงกับเข้าไปฝังตัวในกลุ่มกัลยาณมิตรของวัดพระธรรมกาย
เข้าไปศึกษาหาหลักฐานจากชมรมพุทธศาสตร์สากลในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น
คณะทำงานฯ จำต้องตั้งปณิธานเป็นบรรทัดฐานไว้เสมอว่า การทำงานเกี่ยวกับความเชื่อ ความนับถือส่วนบุคคลเช่นนี้ “จะต้องทำงานประกอบด้วยความเมตตา รู้จักให้อภัย รู้จักการเสียสละ รอบคอบ และที่สำคัญ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

แต่จากการค้นหาข้อมูล ยิ่งสาวลึกเข้าไป ยิ่งพบความไม่ชอบมาพากลของวัดพระธรรมกายและบุคคลใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น พบเห็นการจัดตั้งเครือข่ายเหมือนองค์กรอาชญากรรมใหญ่ๆ มีการใช้กลวิธีเล่ห์เพทุบายเพื่อประทุษร้ายบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์วัดพระธรรมกายนานัปการ และขณะนี้เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นกล่าวจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปแล้ว

ดังนั้นคณะทำงานฯ จึงต้องหันกลับมาตั้งต้นใหม่ว่า "เราควรจะมีเมตตาให้อภัยแก่คนที่ไม่รู้จักสำนึก” หรือไม่ ซึ่งในกรณีของวัดพระธรรมกายนี้ เราสรุปได้ชัดเจนว่า บุคลากรของวัดพระธรรมกายและผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ส่วนหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งวัดพระธรรมกายชอบยกขึ้นอ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองนั้น คณะทำงานฯเห็นว่าเราจะเคารพศักดิ์ศรีและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของประชาชนผู้ที่ถูกวัดพระธรรมกายหลอกลวง มากกว่าการพิทักษ์สิทธิของวัดพระธรรมกายซึ่งเป็นตัวการทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และทำความเสียหายให้แก่สถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักของเรา

ณ วันนี้ คณะทำงานฯ จึงตัดสินใจนำเสนอเผยแพร่ข้อมูลหลักฐาน ปรากฏเป็นหนังสือ "แฟ้มคดีวัดพระธรรมกาย เล่มที่ 1” เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ดังมีหัวข้อและสรุปเนื้อหาย่อได้ดังนี้

1. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1

ใน พ.ศ. 2532 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระ ธรรมกายตรงต่อนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในหลายกรณี เช่น การทำธุรกิจในทางลับ การมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต พฤติการณ์ส่วนตัวของพระไชยบูลย์ที่ไม่ชอบมาพากล การขอเข้าพบหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เพื่อขอให้ยุติข้อเขียนในคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” แต่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์มิให้เข้าพบ เป็นต้น คณะทำงานฯ ไม่ทราบเหตุผลว่า ข้อมูลที่ประทับตราว่า “ลับมาก” อยู่ในข่ายที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามอำนาจตามความชอบธรรมแห่งกฎหมายและการปกครองรัฐ กลับปล่อยให้ปัญหาวัดพระธรรมกายลุกลามแผ่ขยายออกไปจนถึงปัจจุบัน


2. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2

ใน พ.ศ. 2535 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงต่อนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งในปีนั้น ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมือง ทำให้ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง อำนาจรัฐคาบเกี่ยวระหว่าง รสช. กับอำนาจจากการเลือกตั้ง นายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกเฉพาะกิจครั้งที่สอง จึงไม่สามารถสั่งปฏิบัติการเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ อีกทั้งนายกฯ พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ประสบปัญหาทางการเมืองความไม่พอใจของประชาชน ทั้งระยะเวลาดำรงตำแหน่งเพียงเดือนกว่า จึงน่าเชื่อว่าคงไม่สามารถจัดการปัญหาวัดพระธรรมกายตามรายงานของหน่วยงานความมั่นคงได้

ก่อนหน้านี้ ในปี 2534 วัดพระธรรมกายถูกจัดเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และอยู่ในบัญชีดำ (Black List) ของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) แต่จากปัญหาความไม่ลงตัวในอำนาจของ รสช. จึงไม่อาจจัดการปัญหาดังกล่าวได้ปล่อยให้วัดพระธรรมกายสร้างเครือข่ายองค์กรใหญ่โต มีกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปสมรู้ร่วมคิดจำนวนมากขึ้น กระทั่งแผ่ขยายอาณาจักรสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้าในปัจจุบัน

3. ผลประโยชน์และรายได้ของพระธัมมชโย

มูลนิธิธรรมกาย มีนโยบายระดมทุนจากประชาชนมากมายหลายวิธีการ ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา สุจริตชนโดยทั่วไป ย่อมรู้เห็นว่า มีเงินหมุนเวียนในมูลนิธิแห่งนี้นับ 10,000 ล้านบาท แต่จากเอกสารงบดุลของมูลนิธิฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2540 ที่รายงานต่อทางการ มูลนิธิฯ มีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียง 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น สำหรับงบดุลสิ้นสุดปี 2541 มูลนิธิฯ แห่งนี้ยังไม่รายงานต่อทางการแต่อย่างใด ทั้งที่เวลาผ่านเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2542 แล้ว ทางการเองก็ปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจสอบ ไม่จัดการกับปัญหาของมูลนิธิฯ ปล่อยให้การดำเนินการของมูลนิธิธรรมกายกระทำการท้าทายอำนาจรัฐ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา

คณะทำงานฯ เชื่อว่า รายได้และผลประโยชน์ของพระธัมมชโย รวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะปกปิด ส่วนเงินสดจะปรากฏอยู่ในบัญชีลับๆ ซึ่งทางวัดพระธรรมกายได้มีหนังสือแจ้งไปยังสาขาของธนาคารที่ฝากเงินว่า ห้ามเปิดเผยบัญชีของพระธัมมชโยและบุคคลรอบข้างเด็ดขาด ถ้าเปิดเผยทางวัดฯ จะถอนเงินฝากทั้งหมดซึ่งก็สร้างความหวาดกลัวให้กับธนาคารผู้รับฝากเป็นอย่างมาก เพราะเกรงว่ายอดเงินก้อนมหึมาจะโยกย้ายไปฝากธนาคารอื่น ด้วยเหตุผลข้อนี้ คณะทำงานฯ จึงตรวจสอบอีกครั้ง จึงพบว่า ปัจจุบันพระธัมมชโยน่าจะมีเงินสดหลายพันล้านบาท ใกล้เคียงกับเงินสดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

4. การตัดต้นไม้มงคลของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง

พระธัมมชโย กระทำการละเมิด กระทำการหมิ่นอาฆาตมาดร้าย ต่อพระบรมเดชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการสั่งตัดต้นไม้ที่ทรงปลูกโดยสมเด็จย่าฯ สมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ซึ่งเป็นการปลูกแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะพระธัมมชโยอาฆาตสถาบันฯ ว่าในกรณีขอพระราชทานสมณศักดิ์ไม่ได้ตามต้องการ เหตุการณ์ดังกล่าววัดพระธรรมกายชี้แจงว่า ผืนดินมีค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่า pH สูง ทำให้ไม่เติบโต ต้องโยกย้ายไปปลูกพื้นที่ใกล้เคียง และภาพที่เห็นในสื่อมวลชนเป็นต้นหมากพุ่มเตี้ย เป็นต้น

คณะทำงานฯ ได้ทำการพิสูจน์ทราบ ด้วยการใช้ภาพถ่ายมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าวัดพระธรรมกายชี้แจงข้อความอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในภาพถ่าย จึงสรุปได้ว่า พระธัมมชโยได้กระทำการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จริง อีกทั้งมีเหตุผลที่รับทราบกันทั่วไป ได้แก่ พระธัมมชโยตั้งปณิธานว่าถ้าเป็นฆราวาสจะต้องเป็นพระจักรพรรดิ (Emperor) ถ้าออกบวชจะต้องเป็น “พระบรมพุทธเจ้า”
สานุศิษย์วัดพระธรรมกายล้วนคิดว่าตัวเองเป็นสาขาของพระพุทธเจ้า หรือ Sub Buddha บรรลุธรรมชั้นสูงกว่าใครๆ ในประเทศไทย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงกล้าละเมิด จาบจ้วง สถาบันชั้นสูงของไทย ทั้งในศาสนจักรและอาณาจักรอย่างหน้าตาเฉย

5. กรณีการมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต (วิญญูนันทกุล)

ค่านิยมในการอัดวิชชาธรรมกายบนดอยสุเทพ-ปุยอันเป็นวิธี การ “อปกติ” ของพระธัมมชโย ทำให้เกิดอาการเครียดแก่พระชิตชัย มหาชิโต เป็นอย่างมาก เพราะพระชิตชัย มหาชิโต ไม่นิยมการพูดเท็จ เป็นพระที่มีสัจจะสูง พระธัมมชโยถามว่า เห็นพระธรรมกายไหม พระชิตชัยตอบว่า “ไม่เห็น” ตามความเป็นจริง
จึงทำให้พระธัมมชโยโกรธขึ้งอย่างรุนแรง จนกระทำการอเปหิสั่งไม่ให้ใครคบหากับพระชิตชัย ไม่ให้ออกสังฆสมาคม ทั้งที่พระชิตชัยมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ยิ่งเพิ่มความเครียดแก่พระชิตชัย จึงเป็นสาเหตุให้พระชิตชัยมรณภาพอย่างเป็นปริศนา

การมรณภาพของพระชิตชัย แม้ทางการพิสูจน์จะทราบได้ว่าเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ก็ล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากพฤติกรรมและวิธีการของพระธัมมชโยทั้งสิ้น พระธัมมชโยจึงน่าจะมีความผิดเป็นตัวการกระทำการใดๆ อันจงใจหรือเจตนาให้บุคคลอื่นฆ่าตัวตาย ซึ่งปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่เช่นเดิม ญาติพี่น้องตระกูลวิญญูนันทกุลยิ่งมีความเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางอยู่จนปัจจุบัน


6. กรณีการถือครองที่ดินทั่วประเทศ

การถือครองที่ดินของพระธัมมชโย ที่มักชี้แจงต่อสาธารณชนว่ามีผู้บริจาคนั้น เป็นความเท็จแทบทั้งสิ้น เพราะที่ดินที่พระธัมมชโยโอนให้วัดตามกำหนดเส้นตายของกรมการศาสนานั้น ข่าวในทางลับแจ้งว่าเป็นที่ดินที่ ดร.ประกอบ กีรจิตติ ถวายแทบทั้งสิ้น จึงเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ส่วนที่ดินอีกกว่า 1,400 ไร่นั้น เป็นการได้มาโดยการสั่งให้สานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดทำการกว้านซื้อไว้แล้วยกถวายพระธัมมชโยในภายหลัง

ในช่วงยื่นคำขาดที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายและสานุศิษย์พยายามเปลี่ยนแปลง ปลอมแปลงเอกสารที่ดิน เพื่อให้ได้ข้อยุติว่า “เป็นการบริจาค” เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหายักยอกทรัพย์
เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ โดยกระทำการดังกล่าวที่บ้านของ “ดร.ประกอบ กีรจิตติ” ส.ส.เขต 10 กทม. พรรค ปชป. โดยการประสานงานหรือล็อบบี้ของ “พรรณพิพา วัชโรบล” อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 พญาไท พรรค ปชป. ผู้เป็นญาติของนางสาวลีลาวดี วัชโรบล อดีตนางเอกภาพยนตร์ สานุศิษย์ผู้คอยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับวัดพระธรรมกายเพื่อการระดมทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

คณะทำงานฯ จึงได้เข้าทำการตรวจสอบการถือครอง ที่ดินในนามของพระไชยบูลย์ สุทธิผล ใน พื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสอง วัชรศรีโรจน์, นางชนัสถ์นันท์ สุขุมพานิช, นางวรรณา อุดมผล, นายเพชร แก่นทรัพย์ ไปกว้านซื้อที่ดิน น.ส.1 ก. จากชาวบ้านในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ใกล้กับที่ดินของนายแพทย์ชัยยุทธ กรรรณสูต ซึ่งประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่ได้สิทธิการครอบครองจากการเข้าไปทำประโยชน์ในป่าสงวนไร้สภาพ หรือได้มาจากการจัดสรรที่ทำกินของ รัฐ หลังจากนั้นก็ขอเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก. สามารถจำหน่ายถ่ายโอนได้แล้วกระทำการยกให้พระไชยบูลย์ ในภายหลัง และตีราคาต่ำกว่าราคาประเมินของทางการ อันเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีที่ดิน

คณะทำงานฯ จึงสรุปว่ากรณีการถือครองที่ดิน พระธัมมชโยใช้เงินบริจาคของวัดให้สานุศิษย์ไปทำการกว้านซื้อที่ดิน แล้วยกถวายเป็นสมบัติของตนเองในภายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของวัด ฉ้อโกงประชาชน

7. กรณีแหล่งผลิตพระมหาสิริราชธาตุ

พระธัมมชโยพยายามปั้นเรื่องเท็จ โดยนำเอาเรื่องในชาดกมาผสมผสานกับ “สินค้า” ที่ออกมาจำหน่าย คือ พระมหาสิริราชธาตุ ที่อ้างว่าพญานาครักษาไว้หลายร้อยล้านปี แต่จากการตรวจสอบของคณะทำงานฯ พบว่าวัตถุธาตุดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศพม่า และประเทศยุโรปตะวันออก ไม่ใช่วัตถุธาตุที่ทรงคุณค่าดังคำโฆษณาแต่อย่างใด

คณะทำงานฯ ได้ส่งคนเข้าไปสอบถามพนักงานโรงงานของบริษัท D. Gems International จำกัด ของนางสงบ ปัญญาตรง สีกาอีกคนหนึ่งของพระธัมมชโย ปรากฏว่าเป็นโรงงานผลิตพระมหาสิริราชธาตุเถื่อน ใช้แรงงานต่างด้าวหนีเข้าเมือง ไม่มีสวัสดิการใดๆ แก่คนงานตามกฎหมายคุ้มครองและสวัสดิการแรงงาน เรื่องนี้จึงสรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายโดยมีผู้นำบุญเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำการหลอกลวงประชาชนทำให้เสียทรัพย์ จนหลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เกิดความเดือดร้อนไปหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้

8. กรณีความสัมพันธ์กับสตรีเพศ

เกือบจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว สำหรับพระสงฆ์ชื่อดังที่จะต้องมีสันถวไมตรีทางกามรสกับสตรีเพศ เช่น พระยันตระ อมโรภิกขุ, พระภาวนาพุทโธ, นายจันทร์ อาจหาญ หรือหลวงตาจันทร์ วัดป่าชัยรังสี เป็นต้น

แต่กรณีของพระธัมมชโย เป็นการเกี่ยวพันกับสตรีถึง 7 คน สตรีผู้ที่พระธัมมชโยให้ความอภิรมย์ มากที่สุด ได้แก่ นางเพียงนิล ศิริเกษม ม่ายลูกสอง อดีตภรรยาน้อยของนายสุวิทย์ มหาแถลง เพื่อนของนายสอง วัชรศรีโรจน์ ซึ่งปัจจุบันปรากฏข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” และอีกหลายฉบับ จนกระทั่งเสี่ยสุวิทย์ มหาแถลง เสียชีวิตอย่างปริศนาภายในห้องทำงาน ท่ามกลางความเสียใจของ “นางอาภรณ์ มหาแถลง” ภรรยาหลวง ปัจจุบันนางเพียงนิลได้ยกลูกสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระธัมมชโย บางกระแสกล่าวว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวมีอาการของโรคประจำตัวคล้ายกับพระธัมมชโย น่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีสตรีผู้ใกล้ชิด ที่พระธัมมชโยมีความสนิทสนมอย่างมากอีก 4 คน ได้แก่ นางจิรวัฒน์ (อี๊ด), นางสงบ ปัญญาตรง, นางสาววิชญา ไตรวิเชียร และคนสุดท้ายที่ฮือฮาโจษขานกันมากที่สุด เพราะสามีของเธอบุกเข้าไปประจานพระธัมมชโยถึงในวัดพระธรรมกายท่ามกลางสานุศิษย์ชั้นนำ สีกาคนล่าสุดนี้ชื่อว่า นางแก้วตา หรือทยา หรือติ๋ม เรื่องการปะทะคารมระหว่างสามีของเธอกับพระธัมมชโย เป็นที่โจษขานกันในวัดสนุกปากจนทุกวันนี้

9. คำให้การของพยานบุคคล อดีตแขนข้างขวาของพระธัมมชโย

กลุ่มผู้นำบุญ ที่มีบทบาทในการหาเงินทุนให้พระธัมมชโยมากที่สุด จนพระธัมมชโยยกย่องให้ “เป็นสาขาหนึ่งของพระบรมพุทธเจ้า” หรือ “Sub Buddha" ให้คำให้การชัดเจนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการชักชวนคนทำบุญ การตามตื๊อคนให้ทำบุญมากที่สุด วิธีการหา “เหยื่อ” เพื่อพาไปตบทรัพย์บนดอยสุเทพ-ปุยในพิธีการอัดวิชชาธรรมกาย

คำให้การดังกล่าว ให้ความกระจ่างถึงวิธีการ “ตบทรัพย์” ของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยชัดเจนที่สุด

ที่มา : http://members.tripod.com/~rabob/casenarok.htm

กรณีพระยันตระ อมโรภิกขุ

พระยันตระ อมโรภิกขุ หรือวินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระรูปงามจากวัดสุญตารามกาญจนบุรีรูปงามบวกกับลีลาการเทศน์ไพเราะจับใจ ทำให้มีชื่อเสียงมีลูกศิษย์ทั่วประเทศไปเทศน์ ที่ใดมักได้รับการต้อนรับแน่นขนัด แต่ในเวลาเดียวกันเริ่มมีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศกับสตรีผู้ใกล้ชิดถึงขั้นมีบุตรด้วยกัน แต่ก็หนีความจริงไม่พ้นเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งกล้าเปิดเผยว่าเป็นภรรยาของพระรูปงามที่มีลูกด้วยกัน
แต่อดีตพระยันตระไม่ยอมรับและยังออกเทศนาธรรมเช่นเดิม จนทางมหาเถรสมาคมหาข้อยุติโดยการพยายามจะนำเด็กสาวที่ถูกอ้างว่าเป็นบุตรของยันตระมาพิสูจน์ดีเอ็นเอ และเชิญยันรตระมาพิสูจน์เช่นกัน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ
เมื่อถูกกดดันมาก
อยู่นาน พระยันตระจึงตัดสินใจเปลื้องจีวรออกหันไปนุ่งเขียวห่มเขียวและหลบออกนอกประเทศ ไปสหรัฐอเมริกา จนถึงบัดนี้ก็ไม่ได้รับผิดข้อกล่าวหาใด ๆ ทั้งสิ้น

กรณี "พระภาวนาพุทโธ" ขืนใจเด็กหญิง โดยมีกลุ่มสาวกให้ความร่วมมือ

กรณี "พระภาวนาพุทโธ" ขืนใจเด็กหญิง

"พระภาวนาพุทโธ" ชื่อนี้เคยคุ้นหูชาวพุทธที่มีศรัทธาประสาทะอย่างแรงกล้าในด้าน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะพระรูปนี้เป็นศิษย์ในสาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร 2 พระเกจิอาจารย์ด้านวิปัสสนาชื่อดังของเมืองไทย

เมื่อประกอบกับการเป็นพระนักธุดงค์ และได้พัฒนาวัดสามพราน จ.นครปฐม จนเป็นที่รู้จักเลื่องลือทำให้มีสาธุชนหลั่งไหลเข้าไปนมัสการพระภาวนาพุทโธ และนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอย่างไม่ขาดสาย ทั้งยังมีการสร้างวัตถุมงคลให้เช่าบูชาอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ สติ๊กเกอร์ที่มีรูปพระภาวนาพุทโธในท่านั่งสมาธิอยู่ใต้กลด และมีตัวหนังสือคำว่า "พุทโธ" รวมอยู่ด้วย

แต่แล้วศรัทธาอันแรงกล้าก็เริ่มเสื่อมลงเมื่อปรากฏข่าวพระภาวนาพุทโธ หรือชื่อในนามฆราวาส คือ นายจำลอง คนซื่อ ข่มขืนเด็กชาวเขาที่พักอาศัยอยู่ในวัด! เหตุการณ์ช็อกความรู้สึกผู้แสวงบุญครั้งนั้นถูกเปิดโปงขึ้นราวต้นเดือน ส.ค. 2538 เมื่อพระรูปหนึ่งและ นายเกรียงศักดิ์ ภูมิรุ่งโรจน์ บุรุษพยาบาล ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของพระรูปนี้ นำจดหมายของเด็กหญิงชาวเขา 6 คน ที่อาศัยอยู่ในวัดสามพราน ตามโครงการเลี้ยงดูเด็กชาวเขาให้ได้เรียนหนังสือ

1 พระ 1 ฆราวาส ได้เข้าร้องเรียนต่อกรมการศาสนา กองปราบปราม และกองคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก กรมประชาสงเคราะห์ โดยระบุว่า พระภาวนาพุทโธเคยเรียกเด็กนักเรียนหญิงทั้ง 6 คนเข้าไปพบที่กุฏิในยามวิกาล และได้ล่วงละเมิดทางเพศอีกด้วย

พลันที่ข่าวกระพือออกไป บรรดาสาวกใกล้ชิดต่างมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการเสนอข่าวในเชิงลบ เพราะเชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีกันมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐกลับไม่เร่งดำเนินการใดๆ เพราะเป็นเรื่องที่พาดพิงถึงพระ ที่คนให้ความศรัทธามาก ประกอบกับช่วงนั้นมีเรื่องฉาวของพระชื่อดังมาหลายรูปแล้ว อาทิ พระนิกร และพระยันตระ

ทว่า ในที่สุดพระรูปนี้ก็หนีไม่พ้น "กฎแห่งกรรม" เมื่อ พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ในขณะนั้น ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.นุกูล โสมทัต รอง ผบก.ป. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี

ระหว่างนั้นมีข่าวว่าคนใกล้ชิดของพระภาวนาพุทโธ ซึ่งเป็นมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้วิ่งเต้นกับตำรวจหวังให้พระอาจารย์ของตนพ้นมลทิน แต่ไม่มีใครเล่นด้วย ส่วนพระภาวนาพุทโธยังเก็บตัวเงียบ ไม่ยอมออกมาเผชิญการพิสูจน์ความจริง ท่ามกลางข่าวลือว่าพระรูปนี้หนีไปกบดานที่ต่างประเทศ บ้างก็ว่ากำลังหลบอยู่ที่บ้านนายพลนอกราชการคนหนึ่ง

หลังจากใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานอยู่นานตำรวจกองปราบและตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมกว่า 60 นายเข้าตรวจค้นวัด และพบหลักฐานสำคัญ คือ "เส้นผม" ของเด็กหญิงอยู่ในช่องแอร์บนกุฏิของพระภาวนาพุทโธ และผลการตรวจร่างกายเด็กก็ฟ้องว่ามีร่องรอยการถูกข่มขืนจริง!

ในที่สุด พระภาวนาพุทโธก็ทนแรงกดดันไม่ไหว และติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจกองปราบปรามอย่างเงียบๆ โดยมีสาวกติดตามไปไม่กี่คน ก่อนจะขอประกันตัวออกไปต่อสู้คดีในเวลาต่อมา โดยมีข้อแม้ว่าห้ามข่มขู่พยาน

กระนั้นตำรวจกลับพบว่ามีการข่มขู่พยานฝ่ายผู้เสียหายซึ่งผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ จึงสั่งถอนประกันและให้พระภาวนาพุทโธลาสิกขาเพื่อมาต่อสู้คดี

ผลการสอบสวนพยานแวดล้อมพบข้อมูลซึ่งเชื่อมโยงกับหลักฐานที่ยึดได้ในกุฏิอดีตพระภาวนาพุทโธ และยังพบด้วยว่ามีแม่ชีถึง 6 คนมีเอี่ยวในการส่งเด็กมาปรนเปรออดีตพระชื่อดัง!

หลังจากรอคอยอย่างยาวนาน ในที่สุดศาลได้พิจารณาคดีนี้เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยระบุว่าอดีตพระภาวนาพุทโธกระทำผิดฐานชำเราเด็กหญิง ซึ่งเป็นศิษย์ในความดูแล จำนวน 9 คน ตั้งแต่ปี 2531-2538 รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 160 ปี แต่กฎหมายกำหนดให้จำคุกได้สูงสุดเพียง 50 ปี แต่ก็เกินพอสำหรับชีวิตที่เหลือของอดีตพระนักวิปัสสนาชื่อดัง ที่มีอายุ 55 ปีแล้วในวันนี้


หัวหน้าทีมสืบเปิดใจ หนักใจก่อนไขคดีดัง

พล.ต.ต.นุกูล เล่าถึงขั้นตอนการไขคดีว่า ชุดสืบสวนได้ประสานไปยังกรมการศาสนาและกรมประชาสงเคราะห์ หาข้อมูลเบื้องต้นก่อนจะส่งกำลังไป จ.เชียงใหม่ เพื่อตามตัวเด็ก ซึ่งการหาตัวเด็กผู้เสียหายเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกว่าจะกล่อมให้พ่อแม่เด็กยอมให้นำเด็กมาสอบปากคำได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แรง โดยตอนนั้นตามตัวเด็กที่อยู่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้ 4 คน และได้เพิ่มอีก 2 คน ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเด็กทั้งหมดมีอายุต่ำกว่า 15 ปี

จากการสอบปากคำเด็กผู้เสีย หายทราบว่า จุดที่มีการข่มขืนหรือที่เรียกกันว่า "ห้องเชือด" อยู่ในกุฏิของพระภาวนาพุทโธ โดยพระรูปนี้จะใช้อุบายเรียกเด็กเข้ามาทำความสะอาด ก่อนจะให้นวดตามร่างกาย โดยบอกกับเด็กว่า "ถูกเนื้อต้องตัวได้ ไม่บาป" แต่ถ้าเด็กคนไหนไม่เชื่อ ก็จะอ้างเรื่องบุญคุณมาบังคับ เมื่อเด็กนวดตัวไปได้สักพักก็จะลวนลามและข่มขืนจนสำเร็จความใคร่

สำหรับเส้นทางที่เรียกเด็กเข้าไป จะใช้ประตูลับทางด้านหลัง โดยมีบันไดลิงพาดรอไว้ เบาะแสตรงจุดนี้ทำให้ตำรวจมั่นใจจึงนำกำลังเข้าค้นกุฏิของพระภาวนาพุทโธ พบเส้นผมของเด็กหญิงอยู่ในช่องแอร์ แต่ไม่พบประตูลับ เพราะถูกทำลายหลักฐานไปก่อนแล้ว โชคดีที่ยังมีร่องรอยบันไดลิงหลงเหลืออยู่บ้าง

เมื่อประกอบหลักฐานเข้ากับผลตรวจร่างกายเด็กซึ่งพบร่องรอยการถูกข่มขืน และคำให้การของเด็ก รวมทั้งพยานแวดล้อมที่มีข้อมูลสอดคล้องต้องกัน จึงขออนุมัติขอหมายจับพระภาวนาพุทโธทันที

ส่วนประเด็นข้อสงสัยว่าเหตุใดคดีจึงตัดสินได้ล่าช้านั้น พล.ต.ต.นุกูล ตอบว่า ทำคดีนี้ตั้งแต่ปี 2538 จนเกษียณอายุราชการไปในปี 2542 ระหว่างนั้นได้ไปเป็นพยานในศาลอยู่ตลอด สาเหตุหลักที่ทำให้คดีไปได้ช้า เพราะมีพยานจำนวนมาก และแต่ละคนก็อยู่ไกลมาก บางคนอยู่ จ.เชียงใหม่ บ้างก็อยู่ จ.แม่ฮ่องสอน ทำให้การเดินทางเข้าให้ปากคำยากลำบาก ไม่สามารถมาบ่อยๆ ได้

พล.ต.ต.นุกูล ยอมรับว่า หนักใจกับคดีนี้มาก เพราะอดีตพระภาวนาพุทโธเป็นพระที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศ แต่เมื่อมองไปที่คู่กรณีซึ่งเป็นเพียงเด็กชาวเขาด้อยโอกาส จึงคิดเสมอว่าจะต้องคลี่คลายคดีให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด เพราะหากทำผิดพลาด ชื่อเสียงของตำรวจก็จะเสียหายไปด้วย

มือปราบท่านนี้ยังให้ข้อคิดเตือนสติด้วยว่า "เราเป็นชาวพุทธ ขอให้เข้าใจว่าพระที่ดีมีเยอะ พระที่ออกนอกลู่นอกทางก็มี ฉะนั้น อยากให้นับถือพระที่ผ้าเหลือง และการประพฤติปฏิบัติเพื่อสืบทอดพระศาสนา แต่เหนือสิ่งอื่นใดขอให้เราทำตัวเราเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว"

รายงานโดย นพดล ศรีทวีกาศ ที่มา คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/column/scoop/2004/07/04.php

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกภาวนาพุทโธ50ปี

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุกอดีคพระภาวนาพุทโธ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงชาวเขา 9 คน ระบุ ผิดหลายข้อหา แต่กฎหมายกำหนดให้จำคุกไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุก 50 ปี

ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกว่า วันที่16 พ.ย.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจำลอง คนซื่อ หรือ อดีตพระภาวนาพุทโธ อายุ 56 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐมกับพวกรวม 8 คน ประกอบด้วย น.ส.สมจิตร รักสีขาว อายุ 32 ปี น.ส.ช่อผา สกุลวนาการอายุ 31 ปี น.ส.อนงค์ วงศ์ใจประเสริฐ อายุ 37 ปี, น.ส.จินตนา ดารานโรดม อายุ 28 ปี ,น.ส.สุภาพ นาวรัตน์ อายุ 34 ปี, นางศรีเพ็ญ มีกลอนเพราะ อายุ 36 ปี และน.ส.ขนิษฐา มีกลอนเพราะ อายุ 31 ปี จำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน เป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่ เพื่อ การอนาจาร

ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 38 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่าเมื่อระหว่างเดือน ส.ค.31- ม.ค.38 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ขณะบวชเป็นพระภิกษุและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม มีนามฉายาว่า “พระมหาจำลอง กิตติ ปัญโญ” หรือ “พระภาวนาพุทโธ” เป็นประธานมูลนิธิหลวงพ่อพุทโธภาวนา รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาวเขายากจนและอยู่ในถิ่นทุรกันดารจาก จ.แม่ฮ่องสอนและจ.เชียงใหม่ ส่วนจำเลยที่ 2-8 เป็นแม่ชีอยู่ในวัดสามพรานและเป็นลูกศิษย์ของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหา เด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี 15 ปี และหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี รวม 9 คนซึ่งเป็นเด็กชาวเขาในอุปการะของจำเลยที่ 1 มาให้จำเลยที่ 1 กระทำอนาจารและข่มขืนตั้งแต่ปี 2531-2538 โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งหมด กระทำผิดจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.47 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมความผิดหลายข้อหารวม 160 ปี แต่ตามกฎหมายแล้วกำหนดให้จำคุกจำเลยไว้ได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 50 ปีจำเลยที่ 2 จำคุก 31 ปีจำเลยที่ 3 จำคุก 28 ปีจำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปีจำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 6 จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 7 จำคุก 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 ยกฟ้อง

ต่อมาจำเลยที่1-4 และ 6-7 ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 กับ 8 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 กระทำชำเราหลายครั้งหลายหน โดยมีจำเลยที่ 2-7 คอยให้ความช่วยเหลือ จับแขนจับขาเพื่อให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ โดยจำเลยที่ 1 ยังเป็นพระสงฆ์ที่มีประชาชนจำนวนมากนับถือเลื่อมใสศรัทธา และคอยอุปการะให้การศึกษาแก่ผู้เสียหายจึงไม่มีเหตุเบิกความปรักปรำใส่ร้าย จำเลยที่ 1

นอกจากนี้ผู้เสียหายก็ยังสามารถเขียนแผนผัง สภาพที่เกิดเหตุ ทางเข้าออกกุฏิของจำเลยที่ 1 ได้อย่างถูกต้อง หากผู้เสียหายไม่เคยเข้าไปในกุฏิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม ก็ไม่น่าจะเขียนแผนผังได้อย่างถูกต้อง ทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็เปลี่ยนแปลงสภาพห้องน้ำ ห้องส้วม ทางเข้าออกเพื่อไม่ให้อยู่ในสภาพเดิม ส่วนจำเลยที่ 2 -7 เป็นผู้สนับสนุน ล้วนมีวุฒิภาวะย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 1 พ้นจากความเป็นสงฆ์มานานแล้วแต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือ เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์และสถานภาพตัวเอง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 แสร้งทำเป็นพระนักปฏิบัติเพื่อสร้างภาพว่าเป็นวัตรปฏิบัตหน้าเลื่อมใส โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนมักมากในกาม ถึงขั้นวิปริตทางเพศ ประพฤติชั่ว ไม่ใยดีที่จะรักษาหลักธรรมพุทธศาสนา แต่กลับใช้ความเป็นสมณเพส หลอกลวงประชาชนผู้ใจบุญ ตามที่อุทธรณ์โจทก์ที่ 1 อ้างว่า ถูกผู้ต่อต้านซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ นับถือผีใส่ร้ายกลั่นแกล้ง และที่อุทธรณ์ว่าผู้เสียหายอายุยังน้อย อวัยวะเพศลีบเล็ก จำเลยที่ 1 ไม่สามารถสอดใส่เข้าไปได้ ซึ่งหนังเยื่อหุ้มปลายอวัยวะเพศยังสมบูรณ์ปกตินั้น เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟัง หักล้างพยานโจทก์ได้ ซึ่งคำให้การของผู้เสียหายสอดคล้องกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เปิดเผยข้อเท็จจริงต่อศาลว่า เคยร่วมหลับนอนกับจำเลยที่ 1 และยังพาผู้เสียหายให้จำเลยที่ 1 กระทำชาเราด้วย ซึ่งได้ปกปิดการกระทำของจำเลยที่ 1 มานานกว่า 10 ปี โดยไม่กล้าเปิดเผยความจริงเพราะเกรงกลัวอิทธิพล ประกอบสำนึกบุญคุณจำเลยที่ 1 ที่ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี จึงรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ได้อย่าง ปราศจากข้อสงสัยว่าจะกระทำเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์จำเลยที่1-4 , 6-7 ฟังไม่ขึ้น คดีจึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ ได้มีพระภิษุกสงฆ์ ประมาณ 15 รูป แม่ชี และผู้ที่เลื่อมศรัทธา นายจำลอง คนซื่อ กว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเดินทางมาให้กำลังใจกันอย่างเนืองแน่น โดยระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษา นานกว่า 2 ชั่วโมง บางคนได้พนมมือสวดภาวนา นั่งสมาธิ บางคนก็นั่งอุดหู แสดงท่าทีไม่อยากได้ยินการกระทำน่าบัดสีของ นายจำลอง บางคนก็ร่ำไห้เมื่อฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้วซึ่งพระภิกษุสงฆ์และแม่ชีต่าง ร่วมกันทำพิธีกรวดน้ำให้กับจำเลยที่ 1 ที่บริเวณหน้าศาลอาญา ทั้งนี้ก่อนฟังคำพิพากษาจำเลยที่ 1 ซึ่งสวมชุดนักโทษถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำบางขวาง ได้อวยพรให้ญาติโยมที่มาให้กำลังใจว่าให้ทำใจให้สบายถึงอย่างไรก็จะอยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรให้ลูกให้หลานต่อไป

บุกบางขวางเยี่ยมอดีตพระดัง ภาวนาพุทโธสั่งศิษย์หมั่นทำดี

หลังจากถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต ที่เรือนจำกลางบางขวาง ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ได้เดินทางเข้าเยี่ยม นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ โดยได้เข้าเยี่ยมปะปนกับบรรดาลูกศิษย์ประมาณ 30 คนที่ยังคงศรัทธาอดีตพระรายนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย

เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส อดีตพระภาวนาพุทโธได้ออกมาพูดคุยกับลูกศิษย์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผ่านกรงขัง อิสรภาพ ซึ่งมีระยะห่างประมาณเมตรกว่าๆ โดยได้กำชับผ่านพระลูกศิษย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนญาติโยมว่า หากจะมาเยี่ยมก็ขอให้ลงชื่อให้เรียบร้อย อย่ามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ เพราะทราบว่ามีญาติโยมบางรายตะคอกใส่เจ้าหน้าที่ระหว่างที่ขอเยี่ยม

นอกจากนี้ ยังบอกว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในคุก มีหลายคนที่มีความลำบากมาก หากลูกศิษย์สนใจทำทาน ก็ขอให้บริจาคได้ในจำนวนเงิน 108 บาท และยังกำชับให้ลูกศิษย์อยู่ในศีลในธรรม อย่าทิ้งวัด ขอให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ จากนั้นบทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นไปในทำนองเป็นห่วงสภาพความเป็นอยู่ของนายจำลอง ซึ่งอดีตพระผู้นี้ได้ตอบกลับไปว่า "สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง"

ก่อนจบการสนทนาอดีตพระภาวนาพุทโธ ทิ้งท้ายด้วยการให้ศีลให้พรกับบรรดาลูกศิษย์เสมือนที่ยังคงเป็นพระอยู่ ซึ่งลูกศิษย์ผู้มาเยี่ยมเยียนก็ได้กราบไหว้กันตามความเคยชิน โดยหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสารอดีตพระอาจารย์ของตน

ลูกศิษย์รายหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่โรงทอในย่านบางซ่อน บอกว่า เดินทางมาเยี่ยมเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกสงสารที่ท่านต้องมาประสบวิบากกรรมเช่นนี้ ทั้งที่ท่านไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่ท่านก็บอกว่าจะไม่ขอโต้ตอบอะไร เพราะถือว่า "หากมารไม่มี บารมีก็ไม่เกิด" ซึ่งท่านต้องเจอกับวิบากกรรมก่อนจึงจะบรรลุผล ตอนนี้เหมือนกับว่าท่านได้ไปโปรดสัตว์ที่เมืองนรก

"ตอนแรกยอมรับว่าช็อกเมื่อรู้ข่าว ก่อนที่ศาลจะตัดสินก็ได้นั่งสวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตาให้ท่านพ้นมลทิน แต่พอผลออกมาแบบนี้ก็เสียใจมาก ลูกสาวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงพ่อ ต้องโดนแบบนี้ ทั้งที่เป็นพระที่ปฏิบัติดีมาตลอด และไม่เชื่อว่าท่านจะเป็นคนทำ แต่น่าจะเป็น การกลั่นแกล้งมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมจะเลื่อมใสหลวงพ่อตลอดไป และจะนำคำสอนของท่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน" ลูกศิษย์รายนี้ กล่าวตั้งปณิธานอย่างเชื่อมั่นในแรงศรัทธาของตนเอง

ที่มา : คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/column/scoop/2004/07/04.php

ชีวิตการรับใช้กับคจ. ค. ของข้าพเจ้า

ชีวิตการรับใช้กับคจ. ค. ของข้าพเจ้า
เรื่องจริงเขียนโดยคุณ กศ.
เมื่อข้าพเจ้ารับเชื่อที่คจ. ค. ได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าได้ถูกมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยง และได้ประกาศนำคนมารับเชื่อ แล้วก็ได้เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่ ในปีถัดมา ผมก็ถูกผู้นำแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเซลล์

ช่วงนั้นนโยบาย คจ.ค. ต้องการขยายคริสตจักรให้คนมากที่สุด เราเลยต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะนำคนมา คจ. จึงออกนโยบายเพื่อจูงใจโดยจัดให้มีการแข่งขันผู้นำดีเด่นในแต่ละดับชั้น

นโยบายที่ทาง คจ. ค.ออกมา คือ 1 .ให้ทุกคนนำหนึ่งคนมาเป็นอย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์ 2. ให้ทุกคนอภิบาลคนสำหรับพี่เลี้ยงอย่างน้อย 1 คน หัวหน้าเซลล์อย่างน้อย 3 คน หัวหน้าหน่วยอย่างน้อย 5 คนต่อ 1 สัปดาห์ 3. ต้องรายงานต่อผู้ช่วยหัวหน้าส่วนทุกฯสัปดาห์ ถ้าคนไหนท่าทีดีผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะเข้าไปใช้เวลาด้วย 4. จัดมีการอบรมสัมมนาทุกๆ สัปดาห์สร้างผู้นำ

ในปีถัดมาข้าพเจ้ามีคนอยู่ในความดูแล 20-30 คน ข้าพเจ้าจึงได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยมีอยู่ 5 เซลหรือแคร์ หัวหน้าหน่วยเป็นหน่วยปฏิบัติการใน คจ.ค. เพราะจะเป็นคนลงพื้นที่ที่รับผิดชอบ
หน้าที่หัวหน้าหน่วยมีหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูหัวหน้าเซล 5 คนและพี่เลี้ยงที่ท่าทีดีอีก 2-3 คนในหนึ่งสัปดาห์ และมีหน้าที่ติดตามผลผู้เชื่อใหม่ด้วย

ตอนที่ผมเป็นหัวหน้าหน่วยผมเริ่มมีชีวิตที่ไม่สมดุลแล้วเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย และไม่มีเวลาที่จะเข้าหาพจ.ส่วนตัวจริงๆ ฉะนั้นถึงตำแหน่งในการรับใช้จะสูงขึ้นแต่จิตวิญญาณกลับถดถอยเพราะโปรแกรม คจ. แน่นเอี๊ยด ผมเชื่อว่ามีคนมากมายใน คจ.ค.ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอนุชน ซึ่งพวกเขาอาจจะมีท่าทีแข่งขันกันใน คจ. ซึ่งเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็ต้องไปเข้ากลุ่มโปร (คือกลุ่มคนทำงาน) แล้วทัศนคติของพวกเขาที่ให้กับพจ.ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มถอยในการรับใช้ เนื่องจากความไม่เข้าใจในการรับใช้พจ.อย่างถูกต้อง ฉะนั้น หลายคนที่ในอดีตเคยทุ่มเทรับใช้พจ. จึงมีเหลือน้อยคนมากที่ยังรับใช้อยู่ในตอนนี้ (หรือยากที่มีใครรับใช้ในระยะยาว)

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว คจ. ก็จะเน้นไปที่กลุ่มอนุชน เพราะกลุ่มอนุชนสร้างแรงเหวี่ยงได้มาก
ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ผมเกิดความรู้สึกและคำถามขึ้นมาในใจว่า ทางคจ. เน้นสถิติมากเกินไปหรือเปล่า หรือผมก็คิดว่าผมเองอาจจะคิดผิด หรือคิดไปเองคนเดียว แต่เมื่อผมถามเพื่อน เขาก็เปิดเผยว่าเขาก็คิดเหมือนผมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในปี 1992 ผมตัดสินใจเรียนพคภ.ที่ คจ.ค. เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองให้ถูกต้อง โดยเรียนหลักสูตรเตรียมสาวก 4 เดือน และต่อหลักสูตรเตรียมผู้รับใช้อีก 4 เดือน แล้วก็ต่อหลักสูตรระดับปริญญาตรีอีก 2 ปี แต่ผมเรียนไม่จบ ต้องพักการเรียนไว้ก่อน

ต่อมาในปี 1993 ทาง คจ.ค.ก็มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าแขวงซึ่งรับผิดชอบคนมากขึ้น ประมาณ 60 คน ตอนนั้น ผมรับผิดชอบงานรับใช้มากขึ้น แต่จิตวิญญาณของผมกลับตกต่ำลงเพราะไม่มีเวลาส่วนตัวกับพจ.เลย มีแต่โตตามระบบของคจ.ค.

ผมเริ่มอยากจะเปลี่ยนสถานที่ในการรับใช้ เพราะอาจจะดีขึ้นในเรื่องจิตวิญญาณของตนเอง พอดีมีผู้นำเรียกออกไปรับใช้ที่หนองคายเพราะใกล้ปี 2000 แล้ว ขณะนั้น คจ.ค. มีนิมิตใหญ่คือต้องมีคจ.ค.ให้ครบทุกอำเภอในปี2000 ซึ่งการที่คจ.ค.สอนเสมอว่าต้องเชื่อฟังผู้นำ ผมจึงออกไปรับใช้ที่นั่น 2 ปี

ช่วง 2 ปีนั้นเป็นช่วงที่ลำบากมากสำหรับผม เพราะตอนแรกคิดว่าคจ.แม่จะช่วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีสมาชิกที่อยู่ที่นั่นประมาณ 7-8 คน แต่ละคนก็ไม่ได้ถวายสิบลดสัตย์ซื่อ แต่เนื่องจากมีเพื่อนขึ้นไปช่วยประจำ 2 คนก็รวมเป็น 9 คน มีเงินถวายเดือนละพันกว่าบาท รถก็ไม่มีให้ ผมต้องซื้อมอเตอร์ไซค์ 2 คัน ขี่วิ่งรอกทุกอำเภอทั้งหมดมี 18 อำเภอ โดยวันพุธกับวันอาทิตย์จะต้องอยู่ที่ตัวอำเภอเมืองเพื่อทำกลุ่มเซลล์กับคจ.วันอาทิตย์ ส่วนในวันจันทร์ อังคาร พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ก็ต้องขี่มอเตอไซค์ไปไกลถึงวันละประมาณ 3-4 อำเภอ ซึ่งบางอำเภอก็อยู่ไกลถึง 100 กว่ากิโลเมตร ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท แต่มีรายรับพันกว่าบาท

ช่วง 2 ปีที่ผมอยู่นั้นก็ไม่ได้เกิดผลอะไรมากมาย เพราะขาดปัจจัยหลายอย่าง ตอนที่ผมส่งต่องานนั้น ในอำเภอเมืองมีสมาชิก 22 คน ต่างอำเภอทั้งหมด 17 อำเภอ มีสมาชิกรวมกันไม่เกิน 30 คน
หลังจากนั้นผมก็กลับกรุงเทพ มารับใช้ที่คจ.ค.ในกรุงเทพ โดยรับใช้ในกลุ่มโปร

แต่จากนั้นไม่นานผมก็หลงหายเพราะธุรกิจล้ม ผมหลงหายอยู่นานถึง 8 ปี แต่ถึงกระนั้น ต่อมาผมก็ได้นิมิตจากพจ. ผมก็เลยหันกลับมาหาพจ.ได้ 2 ปี และเริ่มรับใช้ใหม่อีกครั้ง...ด้วยตนเอง

ตอนที่ผมอยู่คจ.ค.นั้นมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ผมทำไปนั้น เป็นการทำเพื่อพจ. ซึ่งนั่นทำให้ผมทุ่มเทมากในแต่ละวัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าเป็นภาระและงานรับผิดชอบมากกว่า ไม่ได้ใกล้ชิดติดสนิทกับพจ. ทำให้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีแต่ฮึกหึมภายนอกเท่านั้น แต่ภายในกลวงมากและพร้อมที่จะหลงหายทุกเมื่อ

แต่ผมยอมรับคจ.ค.ในสิ่งหนึ่งคือ ความทุ่มเทเสียสละและความภักดีและการเชื่อฟังสูงมาก ทำให้แม้ผู้นำทำผิดก็ยังบอกว่าถูก สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาทำให้ติดนิสัยภักดีต่อผู้นำอย่างมาก แม้จะไม่เข้าใจผู้นำก็ตามที
แรก ๆ ผมเข้าใจผิดคิดว่าคจ.ค.เป็นคจ.ที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะมีการเติบโตเร็วที่สุด แต่เราก็ทำงานหนักจริง ๆ จนเกิดกระแสผู้ปกครองนักเรียนต่อต้าน ก็เลยปรับกิจกรรมให้น้อยลงเรื่อย ๆ และในเขตผมมีการแต่งตั้งหัวหน้าเขตมาจากสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ท่าทีผิดกับพจ.อย่างมากที่เห็นแก่สถิติมากกว่าดวงวิญญาณ เห็นคนเข้ามาส่งก็จะนับเป็นสถิติทำไมก็ไม่รู้ ก็ได้แต่เชื่อฟังผู้นำ

ในสมัยที่ผมอยู่ในคจ.ค.ผมก็ไม่รู้จักกับคจ.อื่นเลย เพราะมีการปิดกั้นข่าวจากคต.และคจ.อื่นๆ ภายนอก มีแต่การจัดสัมนาที่โบสถ์ ผมและสมาชิกอื่นๆ จึงไม่เคยได้ยินข่าวสารจากวงการคต.ข้างนอกเลย ตลอด10กว่าปีถูกสอนตลอดให้เข้าใจว่า คจ.ค.เป็นคจ.ที่ดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปไหน แต่หลักข้อเชื่อก็เหมือนกับโบสถ์อื่นๆ และการอภิบาลของคจ.ดูแล้วเข้มข้นมาก เลยเขาถูกปลูกฝังให้ทำงานหนัก รับผิดชอบอย่างดี โดยบางคนไม่มีเวลาก็ถูกท้าทายให้รับผิดชอบงานต่างๆ

ส่วนใหญ่ในคจ.ค.จะเน้นการขยายของกลุ่มอนุชนเพาะสร้างแรงเหวี่ยงได้ดี ส่วนกลุ่มโปรจะเน้นการถวายทรัพย์ และผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะดูแลหัวหน้าเขต ส่วนหัวหน้าเขตจะดูแลหัวหน้าแขวง หัวหน้าแขวงถือว่าเป็นผู้บริหารระดับกลาง ดูแลหัวหน้าหน่วยและหัวหน้าแคร์ และส่วนใหญ่เขาจะเน้นการดูแลอนูชนเป็นหลัก
ส่วนโครงสร้างนั้นจะดูแลกลุ่มคนคล้าย บวกกับหลักภูมิศาตร์ เพื่อจะดูแลได้ง่ายขึ้น เพราะจะเป็นไปตามกลุ่มคนคล้าย และการเดินทางก็จะง่ายขึ้น และก็จะดูแลได้ทั่วถึง สรุปก็คือเช่นในเขตสัมพันธวงค์ ก็จะมีกลุ่มโปร กลุ่มบ้าน กลุ่มสถาบัน เพื่อจะได้ง่ายต่อการดูแลและการเดินทาง และจะทำให้สามารถเข้ากับกลุ่มคนแต่ละกลุ่มได้

อย่างไรก็ตาม เขาจะเน้นความจงรักภักดีและการไว้ใจผู้นำเชื่อใจผู้นำเป็นหลัก แม้ผู้นำจะสั่งการอะไรก็ตาม อย่างเช่นเรื่องการเมืองก็จะมีผู้ช่วย ดร.KC อยู่ในทุกเขต แต่ละเขตมีประมาณ 2-3 คน และ ดร.KC ถึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ คจ.ค.แล้วแต่ยังชักใยอยู่เบื้องหลังอยู่ และใช้เงินของคจ.ค.ไปในทางการเมืองโดยปกปิดบัญชีทุกอย่าง
ส่วนการอภิบาลเขามีโครงสร้างและระบบที่ดีมาก ทำให้สามารถดูแลสมาชิกได้อย่างทั่วถึง มีการปกครองเป็นระดับชั้น ด้านการพัฒนาคนเขาก็มีโครงสร้างการอบรม การสัมมนาบ่อยๆ เพื่อพัฒนาสู่การรับใช้ ด้านการเพิ่มพูนคริสตจักรเขาก็ทำได้ดีมาก มีโครงการประกาศ 1 นำ 1 ภายใน 1 สัปดาห์ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มอนุชนทำเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีแรงเหวี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นใด
คนมีระดับสติปัญญาสูงมีความคิด เชื่อถือว่ามี "พระเจ้า" จริงน้อยลง

ผลจากการศึกษาทำให้ได้รู้ว่า ผู้ซึ่งมีระดับสติปัญญายิ่งสูง กลับยิ่งมีความเชื่อถือเรื่องการมีพระเจ้าน้อยลง เนื่องจากเป็นคนค่อนข้างจะขี้สงสัย

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอัลสเตอร์แห่งไอร์แลนด์ ได้ค้นพบความเกี่ยวพันระหว่างระดับเชาวน์ปัญญากับความเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ว่า บุคคลในวงการวิชาการมักจะไม่ค่อยเชื่อในพระเจ้ามากยิ่งกว่าใครๆ "ผมเชื่อว่าเหตุที่นักวิชาการที่เชื่อในเรื่องของพระเจ้ามีน้อยคนยิ่งกว่าคน ทั่วไปลง ก็คงเนื่องมาจากระดับเชาวน์ปัญญานั่นเอง นักวิชาการจะมีระดับสติปัญญาสูงกว่าพลเมืองทั่วไป"

หนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี เทเลกราฟ" ชื่อดังของอังกฤษ อ้างว่า ศาสตราจารย์ริชาร์ด ลินน์ หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า "การสำรวจของแกลลัปเกี่ยวกับประชากรทั่วไป แสดงให้เห็นหลายหนว่าผู้ที่มีระดับสติปัญญาสูงๆ มักจะไม่ค่อยเชื่อถือในเรื่องการมีพระเจ้า" เขาอ้างว่า ได้ลงความเห็นเอาจากผลการสำรวจของราชสมาคม ซึ่งได้ผลว่า มีนักวิชาการเพียงร้อยละ 3.3 ที่เชื่อเรื่องการมีพระเจ้า ในขณะที่คนอังกฤษทั่วไป มากถึงร้อยละ 68.5 ยอมรับตนเองว่าเป็น "ผู้มีศรัทธา"

อาจารย์ลินน์รายงานต่อไปว่า พวกเด็กนักเรียนอังกฤษชั้นประถมเกือบทุกคน เชื่อในการมีพระเจ้า แต่พอย่างเข้าวัยรุ่นและมีระดับสติปัญญาเพิ่มขึ้น พวกเขาจำนวนมากชักจะรู้สึกเคลือบแคลง และกล่าวว่า "ในชาติที่กำลังพัฒนาทั่วทั้ง 137 ชาติ ในยุคศตวรรษที่ 20 ก็ได้คลายความเชื่อมั่นในศาสนาลง ในยุคที่ผู้คนมีสติปัญญายิ่งขึ้น"

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิจารณ์ต่างพากัน แสดงความเห็นตอบโต้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะศาสตราจารย์กอร์ดอน ลินช์ วิทยาลัยเบิร์กเบค ที่กรุงลอนดอน ลั่นว่า "การคิดเอาความเชื่อในศาสนากับสติปัญญามาเกี่ยวโยงแบบนี้ สะท้อนให้เห็นการมีแนวความคิดที่เป็นอันตราย โดยที่คิดเอาง่ายๆ เอาศาสนาไปเข้าเป็นพวกของโบราณ".

ที่มา:ไทยรัฐ

สมาธิแบบคริสต์


คุณพ่อลอเรนส์ ฟรีแมน (Fr.Laurence Freeman, OSB) นักบวชคณะเบเนดิกติน เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน The World Community for Christian Meditation (WCCM) ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นศูนย์นานาชาติของการนั่งสมาธิแบบคริสต์ที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1991 และได้เผยแพร่การนั่งสมาธิแบบคริสต์ไปทั่วโลกกว่า 100 ประเทศแล้วในปัจจุบัน

ปัจจัยที่สำคัญของการนั่งสมาธิ ภาวนาคือ ความเงียบ การเข้าสู่ความสันติที่เต็มเปี่ยมด้วยความยินดี ละวางความเศร้าโศก ความโกรธ ความกลัว สิ่งรบกวนภายนอก เคลื่อนสู่ความสงบสันติอย่างรู้ตัว เป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆ เพื่อพบกับพระเยซูเจ้า โดยใช้มันตราคำสั้นๆ เช่น "มา-รา-นา-ธา" เป็นคำท่องซ้ำๆ ช้าๆ เข้ากับจังหวะการหายใจเข้าออก เพื่อช่วยให้เรามีสมาธิได้ต่อเนื่อง คำนี้เป็นภาษาอาราเมอิก มีความหมายว่า "โปรดเสด็จมาเถิดพระเจ้าข้า โปรดเสด็จมาพระเยซูเจ้า" ผลจากการทำสมาธินี้เสมอๆ ทำให้เราสนิทกับพระเจ้ามีคำตอบในชีวิต ความสงบทำให้เรารู้จักทั้งตัวเราเองและพระเจ้า รู้ว่าความรุนแรง นำมาซึ่งบาป และเราจะหลุดพ้นจากมันได้อย่างไร

พระเยซูคริสต์ในทัศนะของอิสลาม

"...ท่านนบีอีซา (พระเยซู) (อ.ล.)นั้น ถือเป็นหนึ่งใน 25 ศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า และเป็น 1 ใน 5 บุคคลที่พระผู้เป็นเจ้ายกย่องเกียรติในฐานะ "อูลุ้ลอัสมิ" หรือ"ผู้มีความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว" ตามหลักศรัทธานั้น มุสลิมทุกคนจำต้องศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตทุกท่านอย่างเท่าเทียมกัน...ซึ่ง นั่นหมายถึงการ ศรัทธาต่อท่านนบีอีซา เฉกเช่นเดียวกับ ท่านนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.)...หากแต่ว่าแนวทางการดำรงชีวิตและหลักปฏิบัตินั้น ต้องดำเนินตามท่านนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.)ในฐานะนบีคนสุดท้าย และเป็นตราประทับแห่งบรรดานบีทั้งมวล

....ตามหลักฐานจากกุรอานนั้น กล่าวไว้ว่า พระนางมัรยัม (พระนางมารีย์)นั้น...ตั้งครรภ์ด้วยอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า โดยมีท่านญิบรีล (กาเบรียล)เป็นผู้รับสนองพระบัญชา โดยนำพระวิญญาณมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมารีย์ ด้วยวิธีที่เหนือธรรมชาติ ทำให้พระนางสามารถตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องมีสัมพันธ์กับชายใด และไม่มีอาการเจ็บครรภ์หรือทรมานเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป

....ท่านนบีอี ซา (อ.ล.) ประสูติเมื่อใด กุรอานไม่ได้ระบุวันที่ไว้...แต่จากการคำนวณโดยนักวิชาการมุสลิมที่อาศัย หลักฐานบางประการ(จากกุรอาน) นั่นคือ พระนางคลอดใต้ต้นอินทผาลัม และเมื่อพระนางคลอดนั้น พระนางได้ใช้ผลอินทผาลัมกินเพื่อประทังความหิว จึงคาดคะเนว่า ท่านนบีน่าจะประสูติในเดือนสิงหาคม - กันยายน (ซึ่งเป็นฤดูที่อินทผาลัมสุกงอม) และจากหลักฐานที่ว่า "ปราชญ์ 3 คนเดินทางมาจากทางทิศตะวันออก โดยตามดวงดาวจรัสแสงมายังแคว้นยูดาย" (มัทธิว 2.1-12) ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกโบราณ และปทานุกรมเวนเฮียนตุงของ หม่าตวนหลิน (ปราชญ์ชาวจีน) ที่ระบุว่า มีดาวหางปรากฏในวันที่ 25 สิงหาคม ก่อนคริสตศักราชประมาณ 12 ปี(เมื่อเทียบตามปฏิทินจีน) โดยกล่าวว่า มันปรากฏให้เห็นถึง 63 วัน ...และจากข้อสันนิษฐาน ของการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่า ดาวหางนั้น คือดาวหางฮัลเลย์ นั่นเอง จึงอาจกล่าวได้ว่า ท่านนบีน่าจะถือกำเนิดในวันที่ 25 สิงหาคม (ตามความเชื่อของมุสลิม)

ชีวิตและภารกิจของท่านนบีอีซา (อ.ล.)นั้นดำเนินไปตามที่ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ (ซึ่งไม่ขอกล่าวซ้ำอีก) จะมีแต่เพียงการกระทำบางประการที่ไบเบิ้ลไม่ได้กล่าวไว้ คือ เรื่องที่ท่านนบีอีซา (อ.ล.)พูดได้ตั้งแต่เด็ก เพื่อปกป้องพระนางมัรยัม จากการถูกใส่ร้ายว่าผิดประเวณี ดังที่กุรอานกล่าวว่า
"แล้วนางได้พาเขามา ยังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามาพวกเขากล่าวว่า “โอ้ มัรยัมเอ๋ย ! แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว....โอ้ น้องหญิงของฮารูน พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์" นางชี้ไปทางเขา (ท่านนบีอีซา (อ.ล.)) ... พวกเขากล่าวว่า “เราจะพูดกับผู้ที่อยู่ในเปลที่เป็นเด็กได้อย่างไร?”... เขา (อีซา) กล่าวว่า “แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนบี...และพระองค์ทรงให้ฉัน ได้รับความจำเริญ ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ ที่ใด และทรงสั่งเสียให้ฉันทำการนมัสการและบริจาคทานตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่....และ ทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้เลวทรามต่ำช้า....และความศานติจงมีแด่ฉัน วันที่ฉันถูกคลอด และวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่” (กุรอาน 19:27-33)
และ อีกเรื่องคือ การที่ท่านนบีอีซา (อ.ล.) แสดงสัญญาณมหัศจรรย์ให้ปรากฏเพื่อยืนยันว่าพระองค์ถูกส่งมาจากพระผู้เป็น เจ้าจริง ๆ นั่นคือ การเสกนกที่ปั้นจากก้อนดินให้กลายเป็นนกที่มีชีวิตจริง ๆ ดังที่กุรอานกล่าวไว้ว่า

"...แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระ เจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้ว โดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่าน ดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนก ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคเรื้อน และฉันจะให้ผุ้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านจะบริโภคกันและสิ่งที่พวกท่านสะสมไว้ใน บ้านของพวกท่าน แท้จริงในนั้น( มีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา" (กุรอาน 3:49)

...อิสลามได้ยกย่องท่านนบี อีซา (อ.ล.) ไว้หลายประการ ได้แก่การยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของพระนางมัรยัม... ซูเราะห์(บท)ที่ 19 แห่งกุรอาน ใช้ชื่อว่า มัรยัม เพื่อเป็นการให้เกียรติพระนาง ชื่อของท่านนบีอีซา (อ.ล.)ถูกกล่าวไว้ในกุรอานอย่างน้อย 25 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีหะดิษรายงานว่า "ไม่มีลูกหลานของอาดัมคนใด ที่เกิดมาโดยไม่ถูกซัยตอน (ซาตาน) ทำร้าย...เว้นเสียแต่มัรยัมและลูกของนาง(คือท่านนบีอีซา (อ.ล.)) (รายงานโดยมุสลิม และบุคอรีย์)
และสิ่งสำคัญเกี่ยวกับท่านนบีอีซา (อ.ล.)ที่มุสลิมต่างเฝ้ารอ ก็คือการปรากฏตัวอีกครั้ง ของท่านนบีอีซา (อ.ล.) ก่อนวันสิ้นโลก

ท่าน นบีมูฮัมมัด(ศ.ล.)กล่าวว่า "ที่มัสยิดแห่งหนึ่ง ในมะนะรัก (หอคอยอะซาน) ซึ่งอยู่ทางเหนือหรือทางด้านตะวันตก ขณะที่อิมามมะฮฺดีและบรรดาผู้ศรัทธากำลังจะละหมาดซุบฮฺ นบีอีซาจะลง (ที่เสาอะซานนั้น) มาจากฟ้า (บันทึกโดยบุคอรีย์)
...ท่านจะลงมาเพื่อกำจัดความชั่วช้าต่าง ๆ ในโลกนี้...และรวมชาวคัมภีร์ (ยิว , คริสต์และมุสลิม) ให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด...

ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานความจำเริญแด่ท่านนบีอีซา และผู้ศรัทธาทุกท่าน

ด้วยจิตคารวะ
kheedes

ขอขอบคุณบทความจาก http://www.annisaa.com/forum/index.php?PHPSESSID=9f10f634e38f70a7d9c45b8ed2bf6311&topic=546.msg2687#msg2687

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บทเรียนจาก Steve Jobs (or Your Jobs?)

บทเรียนจาก Steve Jobs (or Your Jobs?)
พฤ, 11/20/2008 - 11:06 — bunterng

หลายคนอาจจะกำลังเครียด สับสน ท้อถอย หรือหดหู่ จากเรื่องงาน ต้องถูกให้ออกจากงานโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน หรือบางคนกำลังลังเลเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อไปหากต้องลาออกไป ลองมาอ่านเรื่องชีวิตจริงของนายสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของบริษัทแอปเปิล ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันคอมพิวเตอร์ "แมคอินทอช" ให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ได้ถูกบีบให้ออกจากแอปเปิลในปี 1985 ต่อมาได้ก่อตั้งบริษัท NeXT ซึ่งเน้นการพัฒนาระบบประมวลผลสำหรับการศึกษาและธุรกิจ การเข้าซื้อกิจการ NeXT ของแอปเปิลในปี 1997 นำจ๊อบส์(Jobs) กลับมาสู่บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง และได้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิลนับจากนั้นเป็นต้นมา...มีอยู่สามเรื่อง

ศาสนจักรคาทอลิกไม่ขวางความเชื่อ "เอเลียน" มีจริง

ศาสนจักรคาทอลิกไม่ขวางความเชื่อ "เอเลียน" มีจริง เพราะพระเจ้าสร้างจักรวาล

เอพี/เอเยนซี - นักดาราศาสตร์แห่งสำนักวาติกันเชื่อเรื่อง "เอเลียน" ไม่ขัดแย้งกับศาสนา เพราะ "พระเจ้า" สร้างจักรวาล เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทั้งมวลเชื่อว่า "บิกแบง" เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล พร้อมเผยวิทย์และคริสต์ไปด้วยกันได้ ถ้านักวิทยาศาสตร์ศึกษาไบเบิลลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนักบวชตามทันโลกวิทยาการมากขึ้น

สาธุคุณโฮเซ กาเบรียล ฟูเนส (Rev. Jose Gabriel Funes) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์ลอสเซอร์วาโตเร โรมาโน (L'Osservatore Romano) ของวาติกัน และลงบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 13 พ.ค. 2551 ซึ่งพาดหัวว่า "มนุษย์ต่างดาว พี่น้องของพวกเรา" (The extraterrestrial is my brother) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่างดาว และเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและวิทยาศาสตร์

สาธุ คุณฟูเนส ผู้เป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 (Pope Benedict XVI) และดำรงตำแหน่ง ผอ.หอดูดาววาติกัน (Vatican Observatory) ซึ่งอยู่นอกกรุงโรม ประเทศอิตาลี ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อว่าจะต้องมีมนุษย์ต่างดาวอยู่นอกพิภพอย่างแน่นอน และบางทีอาจมีวิวัฒนาการที่ก้าวไกลกว่ามนุษย์โลกด้วยซ้ำ

"ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่น เพราะยังมีดาวเคราะห์อีกมากมายที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกาแลกซีอีกจำนวนมากใน จักรวาลที่พวกเขาเหล่านั้นอาศัยอยู่ได้" พระนักดาราศาสตร์วัย 45 ปีเผย

" พวกเราจะปฏิเสธการที่สิ่งมีชีวิตอาจกำลังมีวิวัฒนาการอยู่ที่ไหนสักแห่งได้ อย่างไรกัน? หากพิจารณาสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราก็ล้วนเกี่ยวข้องเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ทำไมพวกเราไม่พูดถึงมนุษย์ต่างดาวว่าเป็นพี่น้องของพวกเรา (extraterrestrial brothers) บ้างล่ะ? เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งต่างๆ" คำให้สัมภาษณ์ของนักบวชนักวิทย์

ท่านสาธุคุณยังบอกอีกว่า โลก ของเรายังมีสิ่งมีชีวิตหลากชนิดได้เลย ฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตต่างชนิดอยู่บนดาวดวงอื่น และอาจเป็นสิ่งมีชีวิตฉลาดล้ำที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยพระเจ้า ซึ่งเราก็ไม่อาจยึดถือกับข้อจำกัดของความอิสระในการสร้างสรรค์ของพระเจ้าได้

เป็น ไปได้อย่างไรที่นักบวชโรมันคาทอลิกผู้เคร่งในพระคริสต์ธรรมมีความเห็นเป็นไป ในทางเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ส่วนมาก ที่เชื่อกันว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นในจักรวาล เพราะตั้งแต่อดีตมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์มักถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีตและถูก ต่อต้านจากคริสตจักร เช่นกรณีของ กาลิเลโอ (Galileo) ที่ค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ว่าโลกกลมและโคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่นักบวชแห่งโรมันคาทอลิกเพิ่งยอมรับเขาเมื่อปี 2535 นี้เอง และยังมีกรณีความขัดแย้งของทฤษฎีพระเจ้าสร้าง (creationism) กับทฤษฎีวิวัฒนาการ (evolution) ที่บัดนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ

สาธุคุณฟูเนสกล่าวว่า การ เชื่อว่ามีเอเลียนดำรงอยู่บนดาวดวงอื่นนั้นไม่ขัดกับความศรัทธาที่มีต่อพระ เจ้าเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าคือผู้สร้าง และเป็นผู้สร้างแห่งจักรวาล ซึ่งก็เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากอธิบายว่าจักรวาลเริ่มต้นขึ้นจากปรากฏการณ์บิกแบงตั้งแต่เมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว

" ฉันเชื่อมาเสมอว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างจักรวาล และพวกเราก็ไม่ได้เป็นแค่สิ่งของที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดประสงค์ แต่เป็นเด็กน้อยที่มีพ่อผู้แสนดีและมีจิตใจรักเราอย่างเต็มเปี่ยม" สาธุคุณฟูเนสกล่าว และยังบอกด้วยว่า การสนทนากันระหว่างความศรัทธาและวิทยาศาสตร์สามารถปรับเข้าหากันและให้เป็นไปในทางเดียวกันได้ ถ้านักวิทยาศาสตร์ศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่วนนักบวชก็ต้องก้าวตามให้ทันโลกวิทยาศาสตร์ที่หมุนไปข้างหน้า
ที่มา :ผู้จัดการ

แม่ยังสาวยอมตายหลังคลอดลูกแฝดแต่ไม่ยอมรับเลือดเพื่อพระยะโฮวาห์


เดอะ ซัน – สาวผู้ดี วัย 22 ปี ต้องจบชีวิตลงอย่างเศร้าสลด หลังเสียเลือดมากจากการให้กำเนิดลูกชายหญิงฝาแฝด แต่ไม่ยอมรับเลือดจากโรงพยาบาล เพราะต้องการปฏิบัติตามหลักคำสอนของกลุ่มพยานพระยะโฮวาห์ที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างเคร่งครัด

เอ็มม่า กอช วัย 22 ปี จากเมืองเทลฟอร์ด ชร็อปไชร์ของอังกฤษ ได้ให้กำเนิดลูกฝาแฝดเมื่อคืนวันอังคาร (25) ที่ผ่านมา โดยก่อนที่จะเข้าห้องคลอด เอ็มม่าได้ยืนยันในแบบฟอร์มของโรงพยาบาลว่าเธอไม่ยินยอมที่จะรับการให้เลือด ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามหลังการให้กำเนิดลูกชายหญิง ฝาแฝด เอ็มม่าเกิดเสียเลือดมาก แพทย์จึงได้ขอร้องให้แอนโธนี่ กอช สามี วัย 24 ปีของเธอ และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ยินยอมให้แพทย์ทำการให้เลือดกับเอ็มม่า แต่ทุกคนปฏิเสธ เพราะต้องการให้เอ็มม่าได้ทำตามสิ่งที่เธอตั้งใจไว้ นั่นก็คือการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระยะโฮวาห์ พระเจ้าสูงสุดของศาสนาคริสต์ ซึ่งห้ามในเรื่องการดื่มเลือด

การจากไป อย่างไม่คาดฝันดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาเพื่อนๆ ของเอ็มม่าอย่างมาก หลังเอ็มม่าและแฟนหนุ่มเพิ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกันที่หมู่เกาะบาร์บาโดสเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

เมื่อมุสลิมเปลี่ยนศาสนา เกิดอะไรขึ้น


มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว
โดย แอนโทนี่ บราวนี่ 

นิตยสารไทมส์ 5 กุมภาพันธ์ 2005


ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับความกลัวอย่างรุนแรง อิฐก้อนแรกก็ได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุกนิสซาร์ ฮุซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ

นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่ครอบครัวนี้กำลัง เตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลากว่า 3 ปี รถของนายฮุซเซนถูกกระแทก ทุบตี และถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด

เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงโดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง
และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า "พวกคริสต์สารเลว (Christian Bastard)"

ปัญหาไม่ได้มาจากสิ่งที่นายฮุซเซน ผู้มีบิดามารดามาจากปากีสถาน เชื่อ แต่มาจากสิ่งที่เขาไม่ได้เชื่อ เขาเกิดมาเป็นอิสลาม แต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ได้ 8 ปีมาแล้ว และภรรยาของเขาก็มาจากปากีสถานและได้ทำตามด้วยเช่นกัน


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กรณีศึกษาเรื่อง ท่าทีของคริสตชนต่อการถูกกล่าวหาจากผู้เขียน The Da Vinci Code

วาติกันเรียกร้องคริสตศาสนิกชนคว่ำบาตร Da Vinci Code

ทางสำนักวาติกันเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตร The Da Vinci Code เพราะมีเนื้อหาที่ให้ร้ายและต่อต้านคริสตจักร และยังยุแยงให้ชาวคริสต์ทั่วโลกเอาใจออกห่างอันอาจก่อให้เกิดความหายนะต่อศาสนาคริสต์ได้ ขณะที่คริสศาสนิกชนฝ่ายแองกลิกันในซิดนีย์เปิดแคมเปญให้ออกมาค้นหาความจริง เพื่อกันหนังนำความเชื่อผิดๆ มาสู่คนดู

มองซีเญอแองเจโล อามาโต ผู้ทรงอำนาจลำดับที่สองในสำนักวาติกันรองจากพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้กล่าวระหว่างการปราศรัยในการประชุมกลุ่มคาทอลิกที่มหาวิทยาลัย ซานตาโครเซ ในกรุงโรม กระตุ้นให้ชาวคาทอลิกจากทุกแห่งทั่วโลกร่วมกันคว่ำบาตรหนังรหัสลับดาวินชี เพราะมีเนื้อหาที่ต่อต้านและระรานศรัทธาของเหล่าคริสตศาสนิกชน