วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชีวิตการรับใช้กับคจ. ค. ของข้าพเจ้า

ชีวิตการรับใช้กับคจ. ค. ของข้าพเจ้า
เรื่องจริงเขียนโดยคุณ กศ.
เมื่อข้าพเจ้ารับเชื่อที่คจ. ค. ได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าได้ถูกมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยง และได้ประกาศนำคนมารับเชื่อ แล้วก็ได้เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่ ในปีถัดมา ผมก็ถูกผู้นำแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเซลล์

ช่วงนั้นนโยบาย คจ.ค. ต้องการขยายคริสตจักรให้คนมากที่สุด เราเลยต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะนำคนมา คจ. จึงออกนโยบายเพื่อจูงใจโดยจัดให้มีการแข่งขันผู้นำดีเด่นในแต่ละดับชั้น

นโยบายที่ทาง คจ. ค.ออกมา คือ 1 .ให้ทุกคนนำหนึ่งคนมาเป็นอย่างน้อยในหนึ่งสัปดาห์ 2. ให้ทุกคนอภิบาลคนสำหรับพี่เลี้ยงอย่างน้อย 1 คน หัวหน้าเซลล์อย่างน้อย 3 คน หัวหน้าหน่วยอย่างน้อย 5 คนต่อ 1 สัปดาห์ 3. ต้องรายงานต่อผู้ช่วยหัวหน้าส่วนทุกฯสัปดาห์ ถ้าคนไหนท่าทีดีผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะเข้าไปใช้เวลาด้วย 4. จัดมีการอบรมสัมมนาทุกๆ สัปดาห์สร้างผู้นำ

ในปีถัดมาข้าพเจ้ามีคนอยู่ในความดูแล 20-30 คน ข้าพเจ้าจึงได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยมีอยู่ 5 เซลหรือแคร์ หัวหน้าหน่วยเป็นหน่วยปฏิบัติการใน คจ.ค. เพราะจะเป็นคนลงพื้นที่ที่รับผิดชอบ
หน้าที่หัวหน้าหน่วยมีหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูหัวหน้าเซล 5 คนและพี่เลี้ยงที่ท่าทีดีอีก 2-3 คนในหนึ่งสัปดาห์ และมีหน้าที่ติดตามผลผู้เชื่อใหม่ด้วย

ตอนที่ผมเป็นหัวหน้าหน่วยผมเริ่มมีชีวิตที่ไม่สมดุลแล้วเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย และไม่มีเวลาที่จะเข้าหาพจ.ส่วนตัวจริงๆ ฉะนั้นถึงตำแหน่งในการรับใช้จะสูงขึ้นแต่จิตวิญญาณกลับถดถอยเพราะโปรแกรม คจ. แน่นเอี๊ยด ผมเชื่อว่ามีคนมากมายใน คจ.ค.ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอนุชน ซึ่งพวกเขาอาจจะมีท่าทีแข่งขันกันใน คจ. ซึ่งเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็ต้องไปเข้ากลุ่มโปร (คือกลุ่มคนทำงาน) แล้วทัศนคติของพวกเขาที่ให้กับพจ.ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มถอยในการรับใช้ เนื่องจากความไม่เข้าใจในการรับใช้พจ.อย่างถูกต้อง ฉะนั้น หลายคนที่ในอดีตเคยทุ่มเทรับใช้พจ. จึงมีเหลือน้อยคนมากที่ยังรับใช้อยู่ในตอนนี้ (หรือยากที่มีใครรับใช้ในระยะยาว)

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว คจ. ก็จะเน้นไปที่กลุ่มอนุชน เพราะกลุ่มอนุชนสร้างแรงเหวี่ยงได้มาก
ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ผมเกิดความรู้สึกและคำถามขึ้นมาในใจว่า ทางคจ. เน้นสถิติมากเกินไปหรือเปล่า หรือผมก็คิดว่าผมเองอาจจะคิดผิด หรือคิดไปเองคนเดียว แต่เมื่อผมถามเพื่อน เขาก็เปิดเผยว่าเขาก็คิดเหมือนผมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในปี 1992 ผมตัดสินใจเรียนพคภ.ที่ คจ.ค. เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองให้ถูกต้อง โดยเรียนหลักสูตรเตรียมสาวก 4 เดือน และต่อหลักสูตรเตรียมผู้รับใช้อีก 4 เดือน แล้วก็ต่อหลักสูตรระดับปริญญาตรีอีก 2 ปี แต่ผมเรียนไม่จบ ต้องพักการเรียนไว้ก่อน

ต่อมาในปี 1993 ทาง คจ.ค.ก็มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเป็นหัวหน้าแขวงซึ่งรับผิดชอบคนมากขึ้น ประมาณ 60 คน ตอนนั้น ผมรับผิดชอบงานรับใช้มากขึ้น แต่จิตวิญญาณของผมกลับตกต่ำลงเพราะไม่มีเวลาส่วนตัวกับพจ.เลย มีแต่โตตามระบบของคจ.ค.

ผมเริ่มอยากจะเปลี่ยนสถานที่ในการรับใช้ เพราะอาจจะดีขึ้นในเรื่องจิตวิญญาณของตนเอง พอดีมีผู้นำเรียกออกไปรับใช้ที่หนองคายเพราะใกล้ปี 2000 แล้ว ขณะนั้น คจ.ค. มีนิมิตใหญ่คือต้องมีคจ.ค.ให้ครบทุกอำเภอในปี2000 ซึ่งการที่คจ.ค.สอนเสมอว่าต้องเชื่อฟังผู้นำ ผมจึงออกไปรับใช้ที่นั่น 2 ปี

ช่วง 2 ปีนั้นเป็นช่วงที่ลำบากมากสำหรับผม เพราะตอนแรกคิดว่าคจ.แม่จะช่วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีสมาชิกที่อยู่ที่นั่นประมาณ 7-8 คน แต่ละคนก็ไม่ได้ถวายสิบลดสัตย์ซื่อ แต่เนื่องจากมีเพื่อนขึ้นไปช่วยประจำ 2 คนก็รวมเป็น 9 คน มีเงินถวายเดือนละพันกว่าบาท รถก็ไม่มีให้ ผมต้องซื้อมอเตอร์ไซค์ 2 คัน ขี่วิ่งรอกทุกอำเภอทั้งหมดมี 18 อำเภอ โดยวันพุธกับวันอาทิตย์จะต้องอยู่ที่ตัวอำเภอเมืองเพื่อทำกลุ่มเซลล์กับคจ.วันอาทิตย์ ส่วนในวันจันทร์ อังคาร พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ก็ต้องขี่มอเตอไซค์ไปไกลถึงวันละประมาณ 3-4 อำเภอ ซึ่งบางอำเภอก็อยู่ไกลถึง 100 กว่ากิโลเมตร ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนประมาณหมื่นกว่าบาท แต่มีรายรับพันกว่าบาท

ช่วง 2 ปีที่ผมอยู่นั้นก็ไม่ได้เกิดผลอะไรมากมาย เพราะขาดปัจจัยหลายอย่าง ตอนที่ผมส่งต่องานนั้น ในอำเภอเมืองมีสมาชิก 22 คน ต่างอำเภอทั้งหมด 17 อำเภอ มีสมาชิกรวมกันไม่เกิน 30 คน
หลังจากนั้นผมก็กลับกรุงเทพ มารับใช้ที่คจ.ค.ในกรุงเทพ โดยรับใช้ในกลุ่มโปร

แต่จากนั้นไม่นานผมก็หลงหายเพราะธุรกิจล้ม ผมหลงหายอยู่นานถึง 8 ปี แต่ถึงกระนั้น ต่อมาผมก็ได้นิมิตจากพจ. ผมก็เลยหันกลับมาหาพจ.ได้ 2 ปี และเริ่มรับใช้ใหม่อีกครั้ง...ด้วยตนเอง

ตอนที่ผมอยู่คจ.ค.นั้นมีความรู้สึกว่า สิ่งที่ผมทำไปนั้น เป็นการทำเพื่อพจ. ซึ่งนั่นทำให้ผมทุ่มเทมากในแต่ละวัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าเป็นภาระและงานรับผิดชอบมากกว่า ไม่ได้ใกล้ชิดติดสนิทกับพจ. ทำให้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีแต่ฮึกหึมภายนอกเท่านั้น แต่ภายในกลวงมากและพร้อมที่จะหลงหายทุกเมื่อ

แต่ผมยอมรับคจ.ค.ในสิ่งหนึ่งคือ ความทุ่มเทเสียสละและความภักดีและการเชื่อฟังสูงมาก ทำให้แม้ผู้นำทำผิดก็ยังบอกว่าถูก สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาทำให้ติดนิสัยภักดีต่อผู้นำอย่างมาก แม้จะไม่เข้าใจผู้นำก็ตามที
แรก ๆ ผมเข้าใจผิดคิดว่าคจ.ค.เป็นคจ.ที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะมีการเติบโตเร็วที่สุด แต่เราก็ทำงานหนักจริง ๆ จนเกิดกระแสผู้ปกครองนักเรียนต่อต้าน ก็เลยปรับกิจกรรมให้น้อยลงเรื่อย ๆ และในเขตผมมีการแต่งตั้งหัวหน้าเขตมาจากสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ท่าทีผิดกับพจ.อย่างมากที่เห็นแก่สถิติมากกว่าดวงวิญญาณ เห็นคนเข้ามาส่งก็จะนับเป็นสถิติทำไมก็ไม่รู้ ก็ได้แต่เชื่อฟังผู้นำ

ในสมัยที่ผมอยู่ในคจ.ค.ผมก็ไม่รู้จักกับคจ.อื่นเลย เพราะมีการปิดกั้นข่าวจากคต.และคจ.อื่นๆ ภายนอก มีแต่การจัดสัมนาที่โบสถ์ ผมและสมาชิกอื่นๆ จึงไม่เคยได้ยินข่าวสารจากวงการคต.ข้างนอกเลย ตลอด10กว่าปีถูกสอนตลอดให้เข้าใจว่า คจ.ค.เป็นคจ.ที่ดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปไหน แต่หลักข้อเชื่อก็เหมือนกับโบสถ์อื่นๆ และการอภิบาลของคจ.ดูแล้วเข้มข้นมาก เลยเขาถูกปลูกฝังให้ทำงานหนัก รับผิดชอบอย่างดี โดยบางคนไม่มีเวลาก็ถูกท้าทายให้รับผิดชอบงานต่างๆ

ส่วนใหญ่ในคจ.ค.จะเน้นการขยายของกลุ่มอนุชนเพาะสร้างแรงเหวี่ยงได้ดี ส่วนกลุ่มโปรจะเน้นการถวายทรัพย์ และผู้ช่วยหัวหน้าส่วนจะดูแลหัวหน้าเขต ส่วนหัวหน้าเขตจะดูแลหัวหน้าแขวง หัวหน้าแขวงถือว่าเป็นผู้บริหารระดับกลาง ดูแลหัวหน้าหน่วยและหัวหน้าแคร์ และส่วนใหญ่เขาจะเน้นการดูแลอนูชนเป็นหลัก
ส่วนโครงสร้างนั้นจะดูแลกลุ่มคนคล้าย บวกกับหลักภูมิศาตร์ เพื่อจะดูแลได้ง่ายขึ้น เพราะจะเป็นไปตามกลุ่มคนคล้าย และการเดินทางก็จะง่ายขึ้น และก็จะดูแลได้ทั่วถึง สรุปก็คือเช่นในเขตสัมพันธวงค์ ก็จะมีกลุ่มโปร กลุ่มบ้าน กลุ่มสถาบัน เพื่อจะได้ง่ายต่อการดูแลและการเดินทาง และจะทำให้สามารถเข้ากับกลุ่มคนแต่ละกลุ่มได้

อย่างไรก็ตาม เขาจะเน้นความจงรักภักดีและการไว้ใจผู้นำเชื่อใจผู้นำเป็นหลัก แม้ผู้นำจะสั่งการอะไรก็ตาม อย่างเช่นเรื่องการเมืองก็จะมีผู้ช่วย ดร.KC อยู่ในทุกเขต แต่ละเขตมีประมาณ 2-3 คน และ ดร.KC ถึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ คจ.ค.แล้วแต่ยังชักใยอยู่เบื้องหลังอยู่ และใช้เงินของคจ.ค.ไปในทางการเมืองโดยปกปิดบัญชีทุกอย่าง
ส่วนการอภิบาลเขามีโครงสร้างและระบบที่ดีมาก ทำให้สามารถดูแลสมาชิกได้อย่างทั่วถึง มีการปกครองเป็นระดับชั้น ด้านการพัฒนาคนเขาก็มีโครงสร้างการอบรม การสัมมนาบ่อยๆ เพื่อพัฒนาสู่การรับใช้ ด้านการเพิ่มพูนคริสตจักรเขาก็ทำได้ดีมาก มีโครงการประกาศ 1 นำ 1 ภายใน 1 สัปดาห์ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มอนุชนทำเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีแรงเหวี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นใด

23 ความคิดเห็น:

  1. ทุกคริสจักรมีจุดดีจุดอ่อนแตกต่างกันไป ไม่มีคริสตจักรใดในโลกที่เป็นคริสตจักรที่ดีที่สุดในโลก มีก็แต่คริสตจักรที่เหมาะสมกับเราที่สุด ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเพื่อเราจะเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์และการรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และเพื่อเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เเหมือนพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น เพื่อนำคนทั้งหลายเข้าในแผ่นดินสวรรค์ ดังนั้น เราควรจะอวยพรซึ่งกันและกัน และให้กำลังใจ ซึ่งกันและกัน แบ่งปันสิ่งดีแก่กันและกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดคือ อาณาจักรของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย คนไทยมากมายได้รับความรอด ส่วนวิธีการทำงานนั้นแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกันมีการวางรากฐานแตกต่างกัน ดังนั้น ขอให้พี่น้องคริสเตียนในประเทศไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมใจกันประเทศพระคริสต์ ทั่วไทย เพื่อเมืองไทยกลับมาหาพระเจ้าเที่ยงแท้ของเรา คือพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:28

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:29

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:30

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:30

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:32

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:33

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:35

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:36

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:37

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:37

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:38

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 05:38

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 09:12

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  15. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 20:52

    แบบนี้เค้าเรียกว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะคะ
    ไม่ได้ขออนุญาตใครแล้วดึงมาทั้งยวงหยั่งงี้ ไม่ดีเลยค่ะ

    ตอบลบ
  16. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2551 เวลา 03:59

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  17. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2551 เวลา 05:12

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  18. เจ้าของกระทู้ หรือเจ้าของบทความ โปรดมาดูแลด้วยครับ
    มีการนำโพสต์จากบอร์ดอื่น (ซึ่งมีความคิดเห็นของข้าพเจ้า)
    นำมาโพสต์ที่บอร์ด ซึ่งเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    และเป็นที่น่าสังเกตว่า นำความเห็นบางข้อ บางส่วนที่สอดคล้องกับ
    บทความ ขอโปรดพิจารณานำความเห็นออกด้วยครับ
    (ของวันที่ 4 ธันวาคม เวลา 5:28-5:38)

    ตอบลบ
  19. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2551 เวลา 08:40

    เรียน พี่น้องชาว ThaiChristianThinker ที่นับถือ
    เนื่องด้วยมีหลายท่านได้ร้องเรียนเรื่องการที่มีผู้นำโพสต์จากบอร์ดอื่นมาลงไว้ในกระทู้นี้ ทางบล๊อกพิจารณาแล้วจึงเห็นควรว่าให้ลบโพสต์ดังกล่าวออก อย่างไรก็ตาม อยากเีรียนให้ทราบว่า บทความของเจ้าของกระทู้เป็นบทความที่เจ้าของกระทู้ได้เขียนขึ้นเอง (เจ้าของกระทู้ได้ยืนยันอย่างมีหลักฐาน) ส่วนการนำโพสต์จากบอร์ดอื่นมาลงไว้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดนำมาลง เนื่องจากบล๊อกได้เปิดกว้างให้ผู้อ่านได้โพสท์ลงอย่างอิสระ
    ด้วยจิตคารวะ
    ThaiChritistianThinker

    ตอบลบ
  20. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2551 เวลา 17:37

    ขอบคุณมากเลย ท่านผู้ดูแลบล็อก

    ตอบลบ
  21. ขอบคุณมากครับ ทางเว็บบอร์ดเรารับทราบแล้วครับ

    ตอบลบ
  22. ไม่ระบุชื่อ6 ธันวาคม 2551 เวลา 07:27

    ขอบคุณอีกครั้งครับ แวะมาเยี่ยมกันได้นะครับ

    ตอบลบ
  23. พระเยซูท่านบอกว่าผู้ที่เหนื่อยมาหาท่านแล้วจะหายเหนื่อย ถ้าท่านยิ่งเข้าแนบสนิทกับท่านแล้วยิ่งเหนื่อย น่าจะทบทวนดูครับว่าที่ท่านทำถูกหรือไม่

    ตอบลบ