วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมื่อมุสลิมเปลี่ยนศาสนา เกิดอะไรขึ้น


มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว
โดย แอนโทนี่ บราวนี่ 

นิตยสารไทมส์ 5 กุมภาพันธ์ 2005


ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับความกลัวอย่างรุนแรง อิฐก้อนแรกก็ได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุกนิสซาร์ ฮุซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ

นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่ครอบครัวนี้กำลัง เตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลากว่า 3 ปี รถของนายฮุซเซนถูกกระแทก ทุบตี และถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด

เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงโดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง
และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า "พวกคริสต์สารเลว (Christian Bastard)"

ปัญหาไม่ได้มาจากสิ่งที่นายฮุซเซน ผู้มีบิดามารดามาจากปากีสถาน เชื่อ แต่มาจากสิ่งที่เขาไม่ได้เชื่อ เขาเกิดมาเป็นอิสลาม แต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ได้ 8 ปีมาแล้ว และภรรยาของเขาก็มาจากปากีสถานและได้ทำตามด้วยเช่นกัน



ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลามอย่าง แคท สตีฟเว่นส์ (Cat Stevens) เจมิมาร์ คาน (Jemima Khan) และบุตรของ แฟรงค์ ด๊อบซัน (Frank Dobson) เลขานุการองค์กรสุขภาพอย่างเป็นทางการ และ ลอร์ด เบิร์ต (Birt) ผู้อำนวยการทั่วไปของทาง BBC ได้ฉลองรื่นเริงกับศาสนาใหม่ของตน คนที่ออกจากอิสลามไปศาสนาอื่นกลับต้องประสบสารพันภัยคุกคาม และการประทุษร้ายต่าง ๆ

นาย ฮุซเซน เป็นบุรุษพยาบาล อายุ 39 ปี ในโรงพยาบาลแบดฟอร์ด เป็นหนึ่งในเหยื่อชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ เหยื่อเหล่านี้จะถูกรังเกียจจากชุมชนมุสลิมรอบข้าง ถูกทำร้าย ถูกลักพาตัว และบางรายถูกฆาตกรรม ถึงกับขนาดต้องมีองค์กรลับใต้ดินในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ที่ออกจากอิสลามเลยทีเดียว

มีผู้ประเมินออกมาว่ามีมุสลิมกว่า 15 % ในสังคมตะวันตกที่เสื่อมศรัทธาในศาสนา ซึ่งหมายความว่าในอังกฤษมีผู้ออกจากศาสนาร่วม 2 แสนคนเลยทีเดียว

สำหรับทางตำรวจนั้น เรื่องของสิทธิทางศาสนาและการเมืองถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นพวกเขาจะถูกฟ้องร้องจากบรรดาเหยื่อได้หากปฏิเสธที่จะให้ความช่วย เหลือ แต่ปัญหาก็มีมาจากวิกฤตการณ์ความเป็นอิสลามตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลงมากขึ้น เพราะบรรดามุสลิมถูกคุกคามมากยิ่งขึ้น
บรรดามุสลิมผู้ออกจากศาสนาจะถูกประหารชีวิตหรือจับขังคุกตามคำสอนของทางมุสลิม ในประเทศอิสลามหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศซาอุดิอารเบีย ปากีสถาน อียิปต์ และเยเมน

ในประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น อยัน ฮีร์สิ อาลี (Ayan Hirsi Ali) สมาชิก MP มุสลิมอย่างเป็นทางการจำต้องหลบซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างแอบ ๆ หลังตนได้ประกาศละทิ้งความเชื่อทางโทรทัศน์

เจ้าชายแห่งเวลส์ได้ทรงจัดประชุมกับผู้นำทางศาสนาเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อพิจารณาหาวิธีหยุดยั้งไม่ให้ชาวมุสลิมกระทำการทารุณกรรมตามความเชื่อทางศาสนาในประเทศอื่น ๆ แต่ในอังกฤษเองกลับได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

นายฮุซเซนได้บอกกับนิตยสารไทมส์ว่า นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่ง เพราะที่นี่คือประเทศอังกฤษที่ผมได้เกิดและเติบโตขึ้นมา แต่คุณคงไม่เคยจินตนาการเลยว่าคริสตศาสนิกชนจะต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ที่นี่ และตำรวจไม่ได้จับกุมผู้ใด เพียงแต่บอกพวกเขาให้ไปให้พ้นจากที่นั่นเสีย พวกเรารู้สึกถูกโดดเดี่ยว และไม่สามารถทำอะไรได้เลย และผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธ์อำนาจอะไรเลย ถ้าหากนี่กลายเป็นกรณีการเหยียดสีผิวของคนขาวต่อคนเอเซียแทน เรื่องนี้คงกลายเป็นประเด็นร้อนแรง เป็นการประท้วงยกใหญ่ไปแล้ว

นายฮุซเซนกล่าวว่า พวกเขาพยายามจะเอาผมออกจากบ้าน และผมต้องยืนยันจุดยืนในฐานะคริสตศาสนิกชนชาวเอเซีย

ยัซ มิน (Yasmin) ผู้เติบโตมาในเขตเหนือของประเทศอังกฤษเคยถูกบังคับให้ออกจากเมืองที่เธอ อาศัยอยู่มาครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้เธอกำลังพยายามขัดขืนไม่ให้ถูกขับไล่ออกไปอีก
ยัซมินเติบโตมาในครอบครัวมุสลิม แต่ได้เปลี่ยนศาสนาหลังได้เห็นภาพนิมิตของพระเยซูคริสต์ในตอนที่เธอกำลังให้กำเนิดบุตรคนเล็กของเธอ และเธอได้รับศีลล้างบาปในตอนที่เธอมีอายุได้ 30 ปี
ครอบครัวดิฉันได้ตัดขาดฉันออกไปเลย พวกเขาคิดว่าฉันได้กระทำบาปที่ร้ายแรงที่สุดลงไปแล้ว เพราะพวกเขาเชื่อว่าฉันเกิดมาเป็นมุสลิมก็ต้องตายเป็นมุสลิม แม้แต่สามีของฉันเมื่อเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ตัดขาดกับลูกของฉัน มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งหลังรู้เรื่องนี้เขาก็พยายามจะบีบคอฉันในทันที นางยัซมินกล่าว
มีก้อนอิฐขว้างผ่านหน้าต่างของเราเข้ามา และตอนที่ฉันเดินบนถนนก็เจอคนอื่นถ่มน้ำลายรดใส่ พวกเขาคิดว่าฉันได้เหยียบย่ำอิสลาม เราต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจหลายต่อหลายครั้ง และต้องไปศาลเพื่อยื่นฟ้องสามีของฉันเอง เพราะเขาคอยยุยงให้คนอื่นมาคอยทำร้ายฉัน

นางยัซมินได้หลบหนีไปยังพื้นที่อื่นของบริเทน แต่การคุกคามก็ยังคงดำเนินต่อไปทันทีที่ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นพบความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
"ฉันจะไม่ไปจากที่นี่อีกแล้ว" นางยัซมินกล่าว พร้อมเสริมว่าการเลือกปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดมากที่สุด
"พวกเขาปลิ้นปล้อนสิ้นดี พวกเขาต้องการให้เราอดรนทนยอมต่อทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาไม่เคยอดทนอะไรเลยต่อพวกเรา"
ขณะที่ในส่วนของผู้เปลี่ยนศาสนาอื่น ๆ นั้น นางยัซมิน ได้มีส่วนช่วยในการตั้งกลุ่มช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับเธอไปทั่วประเทศอังกฤษ โดยมีจุดประสงค์ในการต่อต้านการกระทำที่เผด็จการ
"ไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องพบกันอย่างลับ ๆ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์เรื่องราวของกลุ่มเลย ซ้ำยังต้องคอยระแวงว่าผู้ที่มาเข้าร่วมจะเป็นไส้ศึกอีกด้วยหรือเปล่า
มีผู้คนจำนวนมากได้เปลี่ยนศาสนาจากอิสลามสู่คริสต์ เรามีรายชื่อกว่า 70 คน อยู่บนลิสต์รายชื่อผู้ช่วยเหลือของเรา และรายชื่อมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย เพราะว่าเราไม่ต้องการให้มีใครต้องประสบทุกข์ลำเข็ญเช่นพวกเราอีก" นางยัซมินกล่าว

ถึงแม้จะมีหลายต่อหลายคนที่ประสบการคุกคามเช่นนี้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ประสบเคราะห์กรรมหนักกว่านั้นอีก "มีเด็กสาวอายุ 18 ปี คนหนึ่งจากครอบครัวหนึ่งที่ยัซมินกำลังให้ความช่วยเหลืออยู่ เธอซ่อนพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไว้ในห้องของเธอ และแอบไปโบสถ์อย่างลับ ๆ อยู่เป็นประจำ ฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเธอ แต่พวกเขาเอาตัวธอไปปากีสถานตอนช่วงวันหยุด และ 3 สัปดาห์หลังจากนั้น เธอก็จมน้ำตาย พวกเขาบอกว่าเธอออกไปกลางคืนแล้วพลัดลื่นตกแม่น้ำไปเอง แต่จริง ๆ เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่" นางยัซมินกล่าว

นาง นรู (รอดชีวิตจากการถูกฆาตกรรมโดยครอบครัวของเธอ หลังจากเธอบอกครอบครัวว่าเธอได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว พวกเขาขังเธอไว้ในห้องตลอดฤดูร้อนเลยทีเดียว) กล่าวว่า "พวกเขากลัวว่าฉันจะไปพบคริสต์ศาสนิกชนคนอื่น ๆ ส่วนพี่ของฉันก็คอยทำรุนแรงทุบตีฉันอยู่เสมอ จนกระทั่งภายหลังที่เขาพยายามจะฆ่าฉัน" นางรูธกล่าว
และแม้แต่เพื่อนบ้านของเธอก็แนะนำให้พาเธอไปฆ่าที่ปากีสถาน
นาง นูร (Noor) จากมิดแลนด์ เติบโตมาเป็นมุสลิมแต่ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์เมื่ออายุ 21 ปี

"การบอกพ่อเป็นเรื่องที่ยากที่สุดที่ฉันเคยทำมา ฉันคิดว่าพ่อคงจะโกรธจัดขนาดฆ่าฉันได้ทันทีที่เห็น แต่พ่อฉันกลับมีท่าทีช็อคแทน" เธอกล่าว แต่ในท้ายสุดพ่อของเธอก็ลักพาตัวเธอไปอยู่ดี

"เขาใช้วิธีที่รุนแรง พาครอบครัวไปปากีสถาน ไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่มีแม้แต่ถนนที่นำทางสู่หมู่บ้าน เขากักฉันไว้ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี พร้อมคอยกดดันให้ฉันละทิ้งศาสนาคริสต์ ฉันต้องทนทุกข์ทั้งทางกายและทางใจเป็นเวลานานที่สุดแสนใครจะทนไหวได้" เธอกล่าว
จนกระทั่งเมื่อพ่อของเธอตระหนักว่าไม่สามารถสั่นคลอนศรัทธาอันแน่วแน่ของเธอได้ เขาจึงยอมปล่อยเธอไปแต่ก็ตั้งกฎที่เข้มงวดตามมา

"ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง พ่อได้ขู่จะเอาชีวิตฉัน เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าหากใครซะคนเปลี่ยนศาสนาไป มันเป็นหน้าที่และเกียรติยศศักดิ์ศรีของครอบครัวที่จะนำคนผู้นั้นกลับมาหา อิสลามให้ได้ มิฉะนั้นก็ควรฆ่าเขาทิ้งเสีย"

ชาวอิสลามในบริเทนในบางครั้งก็เรียกคนที่ละทิ้งความเชื่อไปมาฆ่า ถ้าพวกเขาวิจารณ์ศาสนาอิสลามมากเกินไป
อัน วาร์ เชคห์ (Anwar Sheikh) อาจารย์ประจำมัสยิดจากปากีสถานได้กลายมาถืออเทวนิยมไปหลังจากเดินทางมาที่ บริเทน และปัจจุบันต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดหวั่น ต้องระวังตัวเป็นพิเศษในบ้านของเขาในคาร์ดิฟหลังจากเขาได้วิพากษ์วิจารณ์อิส ลามลงไปจากชุดหนังสือของเขา
"ผมมีคนมาคุกคามร่วม 18 คน พวกเขาโทรศัพท์มาหาผม ไม่รีรอที่จะเขียนมาแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ผมได้รับโทรศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ พวกเขาบอกให้ผมสำนึกผิดต่อบาปที่ได้ทำลงไปเสีย มิฉะนั้นพวกเขาจะจับผมแขวนคอ" อันวาร์กล่าว
"แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้ เขียนลงไป และผมจะไม่ดึงมันกลับ ผมยอมรับผลที่ตามมาถ้านั่นเป็นค่าของสิ่งที่ผมทำได้ลงไป ผมก็ยินดีที่จะชดใช้มัน"

นาย อิบน์ วารัค (Ibn Warrag) เป็นหนึ่งในผู้ออกจากศาสนาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเกิดที่ปากีสถาน ได้รับการศึกษาสูง และทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในลอนดอน เขาได้เสียสิ้นศรัทธาไปหลังเหตุกรณีซัลมาน รัช ได้แถลงชี้แจงเหตุผลทั้งหมดลงในหนังสื่อที่ชื่อว่าทำไมผมถึงไม่เป็นมุสลิม (Why I am not Muslim)
เขาพึ่งได้ตรวจเช็คหนังสือเรื่องออกจากอิสลาม (Leaving Islam) และพบว่ามันเป็นการยากมากที่จะอธิบายถึงความเป็นศัตรูที่เขาได้รับมา
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก แม้แต่ชาวมุสลิมที่มีหัวก้าวหน้าเสรีนิยมที่สุดก็ยังสามารถกลายเป็นคนดุร้าย ได้ในพริบตาเพียงแค่คุณวิจารณ์อิสลาม พูดไม่ดีเกี่ยวกับอิสลาม หรือออกจากอิสลาม
แต่ตัวเขาก็ได้เฝ้าระวังเรื่องนี้ไว้ ก่อนด้วยการใช้นามปากกาแทนนามจริง และใช้ชีวิตอย่างไม่เปิดเผยในแผ่นดินหลักของยุโรป
เขาคิดว่าการละทิ้งความเชื่ออิสลามนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคมตะวันตกนั้น มีคนละทิ้งศาสนาอย่างน้อย 10-15 % แต่เรื่องนี้ก็พูดยากเพราะผู้คนไม่ยอมรับมัน

แพทริค สุขดีโอ (Patrick Sookhdeo) ผู้อำนวยการกลุ่มความไว้ใจบาร์นาบัส ผู้ให้ความช่วยเหลือคริสตศาสนิกชนที่ถูกคุกคามจากทั่วโลกได้กล่าวว่า งานของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบริเทน มันเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันนี้การเปลี่ยนศาสนาถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี บุช ที่พยายามให้โลกกลับใจเสียใหม่ ผู้คนสับสนระหว่างประชาธิปไตยกับคริสต์ศาสนา
"ปัญหาความยากลำบากในอังกฤษเกิดจากความเป็นอริศัตรูกันระหว่างชนกลุ่มน้อยมุสลิม และกลุ่มคริสตชนหลักการแพร่ธรรมของคริสตศาสนิกชนในเมืองภายในถูกมองว่าเป็นการรุกโจมตี" ดร.สุขดีโอ กล่าว
"เราได้แต่ร้องหาซึ่งอิสรภาพทางศาสนาที่เหมาะสมกับทุกคนและทุกความเชื่อ"
http://www.timesonline.co.uk/article/0,,2-1470584_1,00.html

============================================================================

เอเจนซี - กลุ่มหัวรุนแรงใต้ดิน ขู่ตัดศีระษะผู้ประกาศข่าวหญิงของสถานีโทรทัศน์รัฐบาลปาเลสไตน์ หากไม่สวมชุดอิสลามอย่างเคร่งครัด
ถ้า จำเป็น เราจะตัดหัวและฆ่าพวกเธอเพื่อรักษาจิตวิญญาณและศีลธรรมของผู้คนของเรา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรง Righteous Swords of Islam ซึ่งมักฆ่าคนด้วยวิธีตัดศีรษะ ขู่ผู้ประกาศข่าวสาวที่พวกเขาอ้างว่าทำลายสังคมปาเลสไตน์ ้วยการออกทีวีโดยไม่มีผ้าคลุมหน้า
กลุ่มอิสลามกลุ่มนี้คือหนึ่งในเครือ ข่ายของอัลกออิดะห์ ซึ่งปรากฏตัวในฉนวนกาซาช่วง 2 ปีก่อน โดยพวกเขาเคยอ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดร้านอินเทอร์เน็ตกว่า 30 ครั้ง รวมทั้งแผงเทปและโต๊พูลด้วย
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของปาเลสไตน์ กล่าวว่า พวกนี้เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่อันตรายมาก พวกเขาพยายามดึงสังคมปาเลสไตน์คืนสู่ยุคมืดอีกครั้ง ขณะที่ทางการเตือนว่ากลุ่มอิสลามนี้อาจจะต้องการก้าวขึ้นมาทดแทนกลุ่มนักรบ ฮามาส

ขณะเดียวกัน องค์กรเสรีภาพสื่อมวลชนนานาชาติได้ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ อิสมาอิล ฮานิเยห์ ในวันอังคาร(5) เรียกร้องให้มีการจับกุมกลุ่มหัวรุนแรงที่ขู่ทำร้ายผู้ประกาศสาวรวมทั้ง พนักงานผู้หญิงอื่นๆ ที่ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์พีบีซี ที่ปฏิเสธสวมชุดอิลสามอย่างเคร่งครัดระหว่างทำงาน ผู้ประกาศข่าวและพนักงานหญิงบางรายรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าไปทำงานหลังจาก ได้รับจดหมายขู่และได้ไปรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวัน อาทิตย์(3) เรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องพวกเธอจากภัยคุกคามนี้


Posted by Buddhism Guard - 2007/06/14 16:17
http://newweb.bpct.org/index.php?option=com_fireboard&Itemid=427&id=282&catid=2&func=fb_pdf.

*********************
คำสอนศาสนาอิสลามในคัมภีร์อัลกุรอ่าน

ซู เราะฮฺ มุฮัมมั (ซูเราะ ฮฺได้ใช้ให้บรรดามุอฺมินสู้รบกับพวกปฏิเสธศรัทธา และจงสังหารพวกเขาด้วยคมดาบของบรรดานักต่อสู้ดิ้นรน เพื่อกวาดล้างผืนแผ่นดินให้บริสุทธิ์จากความสกปรกของพวกเขา จนกระทั่งจะไม่ให้เสี้ยนหนามและพลังเหลืออยู่สำหรับพวกเขา แล้วได้เรียกร้องให้จับพวกเขาเป็นเชลยศึกหลังจากได้ จำนวนมาก และมีผู้บาดเจ็บจำนวนไม่น้อย
และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ (จงฆ่าเสีย) นกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้วก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย
ซูเราะฮฺ มุฮัมมัด (... และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ ...)

บท บัญญัติในคัมภีร์ อัล-กุรอาน ซูเราะห์(บทที่) ๘ ในอายะฮฺ (ประโยค) ที่ ๑-๗๕ โดยเฉพาะ อายะฮฺที่ ๑๒ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า จงนึก เมื่อตอนที่พระอภิบาลของเจ้า ทรงมีวะฮีย์ แก่ มลาอิกะฮฺ ว่า "ฉันจะอยู่กับเจ้า จงทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธเต็มไปด้วยความครั่นคร้าม ดังนั้น จงตีก้านคอของพวกเขา และ จง
[กระทุ้งทุกรอยต่อของร่างกายของพวกเขา"
อา ยะ ฮฺที่ ๑๗ ว่า "ดังนั้น ความจริงก็คือ สูเจ้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่อัลลอฮฺต่างหากที่ทรงฆ่าพวกเขา และสูเจ้าไม่ได้ขว้าง (ทราย) :-[แต่อัลลอฮฺต่างหากที่ทรงขว้างมัน
เพื่อที่ ว่าอัลลอฮฺจะได้ให้บรรดาผู้ศรัทธาผ่านการทดสอบอันดีเยี่ยมนี้ อย่างประสบผลสำเร็จ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินและผู้ทรงรอบรู้
ซู เราะห์ (บทที่) ๙ อายะฮฺ (ประโยค) ที่ ๕ ว่า :- "ดังนั้น เมื่อเดือนที่ถูกทำให้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับการต่อสู้ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว :-[งฆ่าพวกมุชริก (พวกบูชาเทวรูป) ทุกที่ที่สูเจ้าพบ และจงจับพวกมันล้อมพวกเขา และนิ่งคอยดักซุ่มพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาสำนึกผิด และดำรงนมาช (ทำละหมาด)่ายซะกาต (เงินบริจาค) ดังนั้น จงปล่อยพวกเขาให้ไปตามทางของพวกเขา เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ ฯลฯ...
(คัมภีร์อัล-กุรอาน เล่ม ๒ โดย บรรจง บินกาซัน)

อธิบายศัพท์
พระอภิบาลของเจ้า = อัลลอฮฺ (พระเจ้าของศาสนาอิสลาม)
วะฮีย์ = พระบัญชาของพระเจ้า
มลาอิกะฮฺ = บ่าวที่ทำหน้าที่สรรเสริญและรับใช้พระเจ้า
มุชริก = พวกบูชาเทวรูป
(จากสารานุกรม อิสลามฉบับเยาวชน โดย บรรจง บินกาซัน)
นี่ล่ะสันติภาพในความหมายของอัลเลาะห์และนบีโมฮัมหมัดที่ใสซื่อบริสุทธิ์
อิสลาม = สันติภาพ

*******************************
ขอบคุณบทความ "
มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว"

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ15 มีนาคม 2560 เวลา 13:51

    มันไม่ใช่ศาสนามันเป็นลัทธิอุบาทว์ของซาตานสันติภาพบ้าอะไรให้ฆ่าคน

    ตอบลบ