พฤ, 11/20/2008 - 11:06 — bunterng
หลายคนอาจจะกำลังเครียด สับสน ท้อถอย หรือหดหู่ จากเรื่องงาน ต้องถูกให้ออกจากงานโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน หรือบางคนกำลังลังเลเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อไปหากต้องลาออกไป ลองมาอ่านเรื่องชีวิตจริงของนายสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของบริษัทแอปเปิล ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันคอมพิวเตอร์ "แมคอินทอช" ให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ได้ถูกบีบให้ออกจากแอปเปิลในปี 1985 ต่อมาได้ก่อตั้งบริษัท NeXT ซึ่งเน้นการพัฒนาระบบประมวลผลสำหรับการศึกษาและธุรกิจ การเข้าซื้อกิจการ NeXT ของแอปเปิลในปี 1997 นำจ๊อบส์(Jobs) กลับมาสู่บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง และได้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิลนับจากนั้นเป็นต้นมา...มีอยู่สามเรื่อง
"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุด ผมเองเคยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรีด ซึ่งแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งชีวิตเพื่อส่งผมเรียน หลังจากเรียนได้หกเดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน สมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ (calligraphy) ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟ (Serif) แบบซานเซรีฟ (San Serif) เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีกสิบปีต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรูปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะวินโดวส์ใช้วิธีก็อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แต่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ต้องมั้นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้อง ๆ ต้องเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตา ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความเชื่อมั่นแบบนี้ ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก
เรื่องที่สองของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก และการสูญเสีย ผมเป็นคนโชคดีที่ได้ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอชก่อตั้งแอปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุยี่สิบ เราทำงานกันหนักมากครับ ภายในสิบปีแอปเปิลขยายจากแค่เราสองคนในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่ากว่าสองพันล้านเหรียญท่มีพนักงานกว่าสี่พันคน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา-เครื่องแมคอินทอช -หนึ่งปีก่อนหน้าที่ผมอายุเต็มสามสิบ แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่ออกจากบริษัท่ที่เราก่อตั้งมากับมือหรือครับ คือว่าเมื่อแอปเปิลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่คิดว่าเก่งมาก ๆ มาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่จากนั้นวิสัยทัศน์ของเราเริ่มแตกแยกกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุสามสิบ แล้วก็เป็นข่าวดังมาก ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวัง รู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพกการ์ด กับบ็อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวท่โด่งดังช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็คิดได้อย่างช้า ๆ ว่า ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิล ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่า การถูกไล่ออกจากแอปเปิลกลายเป็นสิ่งดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่ง ในชีวิต
"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุด ผมเองเคยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรีด ซึ่งแพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งชีวิตเพื่อส่งผมเรียน หลังจากเรียนได้หกเดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน สมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ (calligraphy) ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟ (Serif) แบบซานเซรีฟ (San Serif) เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีกสิบปีต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรูปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะวินโดวส์ใช้วิธีก็อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แต่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ต้องมั้นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้อง ๆ ต้องเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตา ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความเชื่อมั่นแบบนี้ ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก
เรื่องที่สองของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก และการสูญเสีย ผมเป็นคนโชคดีที่ได้ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอชก่อตั้งแอปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุยี่สิบ เราทำงานกันหนักมากครับ ภายในสิบปีแอปเปิลขยายจากแค่เราสองคนในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่ากว่าสองพันล้านเหรียญท่มีพนักงานกว่าสี่พันคน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา-เครื่องแมคอินทอช -หนึ่งปีก่อนหน้าที่ผมอายุเต็มสามสิบ แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่ออกจากบริษัท่ที่เราก่อตั้งมากับมือหรือครับ คือว่าเมื่อแอปเปิลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่คิดว่าเก่งมาก ๆ มาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่จากนั้นวิสัยทัศน์ของเราเริ่มแตกแยกกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุสามสิบ แล้วก็เป็นข่าวดังมาก ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวัง รู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพกการ์ด กับบ็อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวท่โด่งดังช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็คิดได้อย่างช้า ๆ ว่า ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิล ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่า การถูกไล่ออกจากแอปเปิลกลายเป็นสิ่งดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่ง ในชีวิต
ในช่วงห้าปีหลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อเน็กสต์ อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนี่งซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วน ๆ เรื่องแรกของโลก คือ ทอย สตอรี่ (Toy Story) และตอนนี้สตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์น่าพิศวงคือ เมือแอปเปิลซื้อกิจการของเน็กสต์ ผมกลับคืนสู่แอปเปิล และเทคโนโลยีที่เราพัฒนากลายเป็นหัวใจของแอปเปิลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอน นี้ลอรีนและผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน ผมเชื่อว่า เรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลนถ้าแอปเปิลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมคิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอ ดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ เราต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะเวลาส่วนใหญ่เราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม คือเมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าเรายังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่" เมื่อได้เจอมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป
เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับความตายครับ ตอนผมอายุสิบเจ็ด ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ "ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่ง คุณจะพบว่าสิ่งที่คุณทำไปนั้นถูกต้อง" ผมรู้สึกประทับใจในประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมากว่าสามสิบปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองว่า
" ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากจะทำสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่วันนี้หรือเปล่า" แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ "ไม่"ติดต่อกันหลายวัน ผมก็จะรู้ตัวว่า ผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว
"ความสำนึกว่า ผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญ ๆ ในชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งสำคัญจริง ๆ เท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปลือยเปล่าอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ เวลาของเรามีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์-นั่นคือ การใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจเราเอง และที่สำคัญที่สุด คือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจ และสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่า เราอยากเป็นอะไร ทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองมาทั้งสิ้น
"STAY HUNGRY, STAY FOOLISH"
ที่มา สุนทรพจน์ ณ.Stanford University
ขอบคุณผู้แปล สฤนี อาชวานันทกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น