วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมชายไทยจึงเป็นแชมป์โลกเรื่อง "เจ้าชู้"

มีข่าวเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2555 รายงานผลสำรวจที่จัดทำโดย บริษัท ดูเร็กซ์ ผู้ผลิตถุงยางอนามัย ระบุว่า  ชายไทยนอกใจคู่รักมากที่สุดในโลก   ขณะที่หญิงไทยไม่น้อยหน้า ซิวที่2 ว่าโกหก-นอกใจคู่รักมากที่สุด

และไม่ใช่เพียง "นอกใจ" เท่านั้น ชายไทยก็ยังได้ชื่อเสียงว่ามี "มีเมียน้อย" กันโดยทั่วไปจนเป็นเรื่องธรรมดาอีกด้วย

ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะได้แชมป์ในเรื่องทำนองนี้ได้  โดยเฉพาะเป็นประเทศที่มีภาพว่าเคร่งศาสนาและมีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม   ทำให้พาลนึกไปว่า ขนาดว่าเคร่งในศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ยังได้แชมป์เรื่องนี้  นี่ถ้าไม่เคร่งนี่จะขนาดไหน?


สิ่งที่น่าคิดมากกว่าคือ ทำไม?  ทำไมคนไทยหรือชายไทยจึงเป็นแชมป์โลกเรื่อง "นอกใจ" หรือ "มีเมียน้อย" ได้?  ซึ่งก็อาจต้องถามต่อด้วยว่าแล้วทำไมผู้หญิงถึงได้รองแชมป์โลกด้วย?  

---
เรื่องหนึ่งที่แน่ๆ ก็คือ คนไทยไม่มี "ฮีโร่" เรื่องรักเดียวใจเดียว  วรรณคดีคลาสสิคของไทยแทบทุกเรื่องที่เรียนกันในโรงเรียนตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6  พระเอกล้วนแต่เจ้าชู้หลายเมียทั้งสิ้น

เริ่มตั้งแต่เรื่องสุดยอดคลาสสิคอย่าง พระอภัยมณี ก็มีเมีย 5 คน ทั้งคน ยักษ์ ปลา ไทย จนลูกครึ่งฝรั่ง ของขุนแผนก็มี 5   ส่วนอิเหนานั่นมีถึง 10   แล้วนัยที่เหมือนกันคือ ไปที่ไหนมีที่นั่น  มีไม่เลือกลักษณะว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ขอเป็นเพียงเพศเมียเป็นใช้ได้   ยิ่งกรณีขุนแผน ก็แอบมีเพศสัมพันธ์กับนางสายทองตอนบวชเป็นเณรอยู่ด้วย

แม้แต่กรณีวรรณคดีสุดคลาสสิคอย่าง "รามเกียรติ์"  คนอาจนึกว่าเป็นกรณียกเว้น เพราะพระรามกับทศกัณฑ์แย่งนางสีดาเพียงคนเดียว  แต่ส่วนมากนึกไม่ถึงว่า ตัวยักษ์ทศกัณฑ์นั้นมีเมียมากถึง 84,000 นาง เรียกว่าเป็นยักษ์เจ้าชู้จริงๆ  และนี่เป็นที่มาของวลี "เจ้าชู้ยักษ์" ที่เรียกๆ กัน     ส่วนหนุมานทหารเอกของพระรามเองก็ใช่ย่อย ติดตามพระรามไปรบที่ต่างๆ  ก็ได้พบ “รักระหว่างรบ” จนได้ภรรยาถึง 6 คน

เมื่อเรียนวรรณคดีเหล่านี้ไป เด็กนักเรียนก็ถูกสอนหรือซึมซับไปโดยปริยายว่า พระเอกเหล่านี้น่ายกย่อง กล้าหาญ มีสเน่ห์ ซื่อสัตย์ ฯลฯ และสุดท้ายตัวละครเหล่านี้ล้วนได้ดิบได้ดี ผู้คนยกย่อง ได้ครองเมือง    ฉะนั้นจึงต้องถือว่าไม่แปลกที่เด็กไทยก็จะยอมรับพฤติกรรมเจ้าชู้ตามวรรณคดีไปด้วย  หรืออย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าผิดอะไรหนักหนา     แน่นอนว่าวรรณคดีเหล่านี้มีคุณค่าในด้านภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์  สะท้อนอัจฉริยภาพของผู้ประพันธ์   แต่ปัญหาก็คือ มันเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาสอนเด็ก  โดยเฉพาะเด็กประถม  หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการให้ความเข้าใจด้านจริยธรรมควบคู่ไปด้วย  

---

เรื่องการมีหลายเมียของคนไทยนั้น มันไม่ได้อยู่แต่ในวรรณคดีเท่านั้น แต่อยู่ในแนวคิดทางศาสนาด้วย    หากเราดูจากเรื่องของพระอินทร์  ซึ่งเป็นเทพเทวดาชั้นสูงตามความเชื่อของศาสนาพราห์มซึ่งฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน    วรรณกรรมรามเกียรติ์มีข้อมูลที่ระบุว่า พระอินทร์มีมเหสีที่มีชื่อระบุถึง 4 นาง และยังมีนางฟ้าเป็น ''ชายา''อีก 92 นาง รวมเป็น 96    

และยังไม่หมด  ในเนื่อเรื่องยังบอกว่ามี ''นางบำเรอ''อีก 24 ล้านนาง ซึ่งถ้าตีความว่านางบำเรอที่ว่านี้ไม่ได้เพียงแต่ระบำรำฟ้อนให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่บำเรอทางอื่นด้วยก็จะรวมเป็น 24 ล้านกับ 96 นาง

ในบางศาสนานั้นถือว่า ความสุขที่จะได้บนสวรรค์อย่างหนึ่งก็คือ การได้มีเมียมากๆ   คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะได้มีเมียมากๆ   ยิ่งมีบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นก็จะยิ่งได้มีเมียมากขึ้น   

นี่กระมังที่เป็นที่มาของวลีที่พูดเปรียบการมีเพศสัมพันธ์ว่า "ขึ้นสวรรค์" 

----

การเจ้าชู้เมียมากของชายไทยยังอาจไม่ใช่เหตุจากรากเหง้าของวรรณคดี และทางศาสนาเท่านั้น  แต่การเมืองการปกครองไทยในอดีตก็น่าจะมีส่วนด้วย 

กฎหมายไทยแต่โบราณมายอมรับให้ผู้ชายมีหลายเมียมาโดยตลอด  แม้ในพระอัยการหรือรัฐธรรมนูญของโบราณซึ่งต่อมาในรัชกาลที่หนึ่งมีการชำระและรู้จักกันในชื่อ "กฎหมายตราสามดวง" ก็ยังมีแบ่งภริยาออกเป็นสามประเภท คือ

หนึ่ง  เมียกลางเมือง คือ หญิงอันบิดามารดาหรือญาติซึ่งมีอำนาจปกครองดูแลยินยอมยกให้แก่ฝ่ายชายโดยถูกต้องตามประเพณี เรียกว่า "ภริยาหลวง" นั่นเอง

สอง เมียกลางนอก คือ หญิงที่ชายขอมาเลี้ยงดูเป็นอนุภรรยา มีฐานะเป็นรองหลั่นจากภริยาหลวงลงมา

สาม เมียกลางทาสี คือ หญิงทุกข์ยากที่ชายช่วยไถ่ตัวมาและรับเลี้ยงดูเป็นเมีย มีฐานะหลดหลั่นจากสองประเภทแรกมาก

แน่นอนว่า การให้เกียรติหรือเกรงใจเมียในแต่ละระดับเหล่านี้ก็จะไม่เท่ากัน  ก็ไล่ตามลำดับลงมา   เมียกลางทาสหรือทาสีนั้นไม่ต้องพูดถึง  กลางวันใช้งานกลางคืนก็ใช้บำเรอต่อ

ที่จริงยังมีประเภทที่สี่ อีกด้วย คือ "เมียพระราชทาน"  หมายถึง หญิงที่ชายได้รับพระราชทานมาจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจเป็นหญิงสูงศักดิ์จากเมืองประเทศราช หรือเชื้อพระวงศ์ที่ยกให้ช่วยดูแล  ซึ่งอันนี้ก็ต้องให้เกียรติมากเป็นพิเศษ  เป็นกึ่งเมียที่เคารพ

---

ที่จริงแล้วเรื่องการมีหลายเมียก็เป็นสิ่งที่มีในโลกโบราณและโลกปัจจุบันในหลายวัฒนธรรม
แต่สิ่งที่ไทยเราดูจะแตกต่างชาวบ้านมากเป็นพิเศษน่าจะอยู่ตรงที่ "ความเปิดเผย" ในการมี และการรู้สึกว่ามี "ความชอบธรรม" ที่จะมีได้

คนชาติอื่นถ้าเขามี เขาก็จะค่อนข้าง "ปิดบัง" "หลบซ่อน"  "อาย"
แต่ของไทยไม่ใช่  ไทยเรามีอย่างเปิดเผย  เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ  คือ "ไม่อาย" และเผลอๆ จะ "ภูมิใจ" เอาเสียด้วย

และเรื่องนี้ก็ไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง  ทางราชการ  หรือทางธุรกิจอย่างใดทั้งสิ้น  ไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวใคร   ยอมรับกันไปโดยปริยายว่าเป็น "เรื่องส่วนตัว"  ทั้งที่เป็นบุคคลสาธารณะ

แม้แต่เมียบางคนก็รับได้   ถึงกับให้อยู่บ้านเดียวกันด้วย   อดีตนักการเมืองบางคนถึงกับบอกเลยว่า เมียหาเมียน้อยให้ เพราะจะช่วยเสริมดวง   ทำให้อายุยืน

ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า  ของเราที่นี่มีกฎว่า ถ้านักข่าวชายหากมีหลายคนถ้าเลี้ยงได้ก็ไม่ว่าอะไร  จะเอาเรื่องต่อเมื่อดูแลไม่ได้   แต่นักข่าวหญิงไม่ยอมให้มี

เมื่อประมวลเรื่องเหล่านี้แล้วก็อย่าแปลกใจว่า ทำไมเมืองไทยแก้ปัญหาคอรัปชั่นไม่ได้  เพราะเรื่องศีลธรรมพื้นฐานเรื่องอื่นก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน   มันฝังรากลึกมาก

ที่สำคัญคือ คนไทยยอมรับได้   ขณะที่คนชาติอื่นเขายอมรับไม่ได้  

สวัสดี


โดย ดร.ศิลป์ชัย  เชาว์เจริญรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น