และไม่ใช่เพียง "นอกใจ" เท่านั้น ชายไทยก็ยังได้ชื่อเสียงว่ามี "มีเมียน้อย" กันโดยทั่วไปจนเป็นเรื่องธรรมดาอีกด้วย
ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะได้แชมป์ในเรื่องทำนองนี้ได้ โดยเฉพาะเป็นประเทศที่มีภาพว่าเคร่งศาสนาและมีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ทำให้พาลนึกไปว่า ขนาดว่าเคร่งในศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ยังได้แชมป์เรื่องนี้ นี่ถ้าไม่เคร่งนี่จะขนาดไหน?
สิ่งที่น่าคิดมากกว่าคือ ทำไม? ทำไมคนไทยหรือชายไทยจึงเป็นแชมป์โลกเรื่อง "นอกใจ" หรือ "มีเมียน้อย" ได้? ซึ่งก็อาจต้องถามต่อด้วยว่าแล้วทำไมผู้หญิงถึงได้รองแชมป์โลกด้วย?
---
เรื่องหนึ่งที่แน่ๆ ก็คือ คนไทยไม่มี "ฮีโร่" เรื่องรักเดียวใจเดียว วรรณคดีคลาสสิคของไทยแทบทุกเรื่องที่เรียนกันในโรงเรียนตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6 พระเอกล้วนแต่เจ้าชู้หลายเมียทั้งสิ้น
เริ่มตั้งแต่เรื่องสุดยอดคลาสสิคอย่าง พระอภัยมณี ก็มีเมีย 5 คน ทั้งคน ยักษ์ ปลา ไทย จนลูกครึ่งฝรั่ง ของขุนแผนก็มี 5 ส่วนอิเหนานั่นมีถึง 10 แล้วนัยที่เหมือนกันคือ ไปที่ไหนมีที่นั่น มีไม่เลือกลักษณะว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ขอเป็นเพียงเพศเมียเป็นใช้ได้ ยิ่งกรณีขุนแผน ก็แอบมีเพศสัมพันธ์กับนางสายทองตอนบวชเป็นเณรอยู่ด้วย
แม้แต่กรณีวรรณคดีสุดคลาสสิคอย่าง "รามเกียรติ์" คนอาจนึกว่าเป็นกรณียกเว้น เพราะพระรามกับทศกัณฑ์แย่งนางสีดาเพียงคนเดียว แต่ส่วนมากนึกไม่ถึงว่า ตัวยักษ์ทศกัณฑ์นั้นมีเมียมากถึง 84,000 นาง เรียกว่าเป็นยักษ์เจ้าชู้จริงๆ และนี่เป็นที่มาของวลี "เจ้าชู้ยักษ์" ที่เรียกๆ กัน ส่วนหนุมานทหารเอกของพระรามเองก็ใช่ย่อย ติดตามพระรามไปรบที่ต่างๆ ก็ได้พบ “รักระหว่างรบ” จนได้ภรรยาถึง 6 คน
เริ่มตั้งแต่เรื่องสุดยอดคลาสสิคอย่าง พระอภัยมณี ก็มีเมีย 5 คน ทั้งคน ยักษ์ ปลา ไทย จนลูกครึ่งฝรั่ง ของขุนแผนก็มี 5 ส่วนอิเหนานั่นมีถึง 10 แล้วนัยที่เหมือนกันคือ ไปที่ไหนมีที่นั่น มีไม่เลือกลักษณะว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ขอเป็นเพียงเพศเมียเป็นใช้ได้ ยิ่งกรณีขุนแผน ก็แอบมีเพศสัมพันธ์กับนางสายทองตอนบวชเป็นเณรอยู่ด้วย
แม้แต่กรณีวรรณคดีสุดคลาสสิคอย่าง "รามเกียรติ์" คนอาจนึกว่าเป็นกรณียกเว้น เพราะพระรามกับทศกัณฑ์แย่งนางสีดาเพียงคนเดียว แต่ส่วนมากนึกไม่ถึงว่า ตัวยักษ์ทศกัณฑ์นั้นมีเมียมากถึง 84,000 นาง เรียกว่าเป็นยักษ์เจ้าชู้จริงๆ และนี่เป็นที่มาของวลี "เจ้าชู้ยักษ์" ที่เรียกๆ กัน ส่วนหนุมานทหารเอกของพระรามเองก็ใช่ย่อย ติดตามพระรามไปรบที่ต่างๆ ก็ได้พบ “รักระหว่างรบ” จนได้ภรรยาถึง 6 คน
เมื่อเรียนวรรณคดีเหล่านี้ไป เด็กนักเรียนก็ถูกสอนหรือซึมซับไปโดยปริยายว่า พระเอกเหล่านี้น่ายกย่อง กล้าหาญ มีสเน่ห์ ซื่อสัตย์ ฯลฯ และสุดท้ายตัวละครเหล่านี้ล้วนได้ดิบได้ดี ผู้คนยกย่อง ได้ครองเมือง ฉะนั้นจึงต้องถือว่าไม่แปลกที่เด็กไทยก็จะยอมรับพฤติกรรมเจ้าชู้ตามวรรณคดีไปด้วย หรืออย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าผิดอะไรหนักหนา แน่นอนว่าวรรณคดีเหล่านี้มีคุณค่าในด้านภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ สะท้อนอัจฉริยภาพของผู้ประพันธ์ แต่ปัญหาก็คือ มันเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาสอนเด็ก โดยเฉพาะเด็กประถม หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการให้ความเข้าใจด้านจริยธรรมควบคู่ไปด้วย
---
เรื่องการมีหลายเมียของคนไทยนั้น มันไม่ได้อยู่แต่ในวรรณคดีเท่านั้น แต่อยู่ในแนวคิดทางศาสนาด้วย หากเราดูจากเรื่องของพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพเทวดาชั้นสูงตามความเชื่อของศาสนาพราห์มซึ่งฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน วรรณกรรมรามเกียรติ์มีข้อมูลที่ระบุว่า พระอินทร์มีมเหสีที่มีชื่อระบุถึง 4 นาง และยังมีนางฟ้าเป็น ''ชายา''อีก 92 นาง รวมเป็น 96
และยังไม่หมด ในเนื่อเรื่องยังบอกว่ามี ''นางบำเรอ''อีก 24 ล้านนาง ซึ่งถ้าตีความว่านางบำเรอที่ว่านี้ไม่ได้เพียงแต่ระบำรำฟ้อนให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่บำเรอทางอื่นด้วยก็จะรวมเป็น 24 ล้านกับ 96 นาง
ในบางศาสนานั้นถือว่า ความสุขที่จะได้บนสวรรค์อย่างหนึ่งก็คือ การได้มีเมียมากๆ คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะได้มีเมียมากๆ ยิ่งมีบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นก็จะยิ่งได้มีเมียมากขึ้น
นี่กระมังที่เป็นที่มาของวลีที่พูดเปรียบการมีเพศสัมพันธ์ว่า "ขึ้นสวรรค์"
----
การเจ้าชู้เมียมากของชายไทยยังอาจไม่ใช่เหตุจากรากเหง้าของวรรณคดี และทางศาสนาเท่านั้น แต่การเมืองการปกครองไทยในอดีตก็น่าจะมีส่วนด้วย
กฎหมายไทยแต่โบราณมายอมรับให้ผู้ชายมีหลายเมียมาโดยตลอด แม้ในพระอัยการหรือรัฐธรรมนูญของโบราณซึ่งต่อมาในรัชกาลที่หนึ่งมีการชำระและรู้จักกันในชื่อ "กฎหมายตราสามดวง" ก็ยังมีแบ่งภริยาออกเป็นสามประเภท คือ
หนึ่ง เมียกลางเมือง คือ หญิงอันบิดามารดาหรือญาติซึ่งมีอำนาจปกครองดูแลยินยอมยกให้แก่ฝ่ายชายโดยถูกต้องตามประเพณี เรียกว่า "ภริยาหลวง" นั่นเอง
สอง เมียกลางนอก คือ หญิงที่ชายขอมาเลี้ยงดูเป็นอนุภรรยา มีฐานะเป็นรองหลั่นจากภริยาหลวงลงมา
สาม เมียกลางทาสี คือ หญิงทุกข์ยากที่ชายช่วยไถ่ตัวมาและรับเลี้ยงดูเป็นเมีย มีฐานะหลดหลั่นจากสองประเภทแรกมาก
แน่นอนว่า การให้เกียรติหรือเกรงใจเมียในแต่ละระดับเหล่านี้ก็จะไม่เท่ากัน ก็ไล่ตามลำดับลงมา เมียกลางทาสหรือทาสีนั้นไม่ต้องพูดถึง กลางวันใช้งานกลางคืนก็ใช้บำเรอต่อ
ที่จริงยังมีประเภทที่สี่ อีกด้วย คือ "เมียพระราชทาน" หมายถึง หญิงที่ชายได้รับพระราชทานมาจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจเป็นหญิงสูงศักดิ์จากเมืองประเทศราช หรือเชื้อพระวงศ์ที่ยกให้ช่วยดูแล ซึ่งอันนี้ก็ต้องให้เกียรติมากเป็นพิเศษ เป็นกึ่งเมียที่เคารพ
---
ที่จริงแล้วเรื่องการมีหลายเมียก็เป็นสิ่งที่มีในโลกโบราณและโลกปัจจุบันในหลายวัฒนธรรม
แต่สิ่งที่ไทยเราดูจะแตกต่างชาวบ้านมากเป็นพิเศษน่าจะอยู่ตรงที่ "ความเปิดเผย" ในการมี และการรู้สึกว่ามี "ความชอบธรรม" ที่จะมีได้
คนชาติอื่นถ้าเขามี เขาก็จะค่อนข้าง "ปิดบัง" "หลบซ่อน" "อาย"
แต่ของไทยไม่ใช่ ไทยเรามีอย่างเปิดเผย เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คือ "ไม่อาย" และเผลอๆ จะ "ภูมิใจ" เอาเสียด้วย
และเรื่องนี้ก็ไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ทางราชการ หรือทางธุรกิจอย่างใดทั้งสิ้น ไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวใคร ยอมรับกันไปโดยปริยายว่าเป็น "เรื่องส่วนตัว" ทั้งที่เป็นบุคคลสาธารณะ
แม้แต่เมียบางคนก็รับได้ ถึงกับให้อยู่บ้านเดียวกันด้วย อดีตนักการเมืองบางคนถึงกับบอกเลยว่า เมียหาเมียน้อยให้ เพราะจะช่วยเสริมดวง ทำให้อายุยืน
ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า ของเราที่นี่มีกฎว่า ถ้านักข่าวชายหากมีหลายคนถ้าเลี้ยงได้ก็ไม่ว่าอะไร จะเอาเรื่องต่อเมื่อดูแลไม่ได้ แต่นักข่าวหญิงไม่ยอมให้มี
เมื่อประมวลเรื่องเหล่านี้แล้วก็อย่าแปลกใจว่า ทำไมเมืองไทยแก้ปัญหาคอรัปชั่นไม่ได้ เพราะเรื่องศีลธรรมพื้นฐานเรื่องอื่นก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน มันฝังรากลึกมาก
ที่สำคัญคือ คนไทยยอมรับได้ ขณะที่คนชาติอื่นเขายอมรับไม่ได้
สวัสดี
โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น