วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทวทาสี กับโสเภณีศักดิ์สิทธิ์


 เทวทาสี ถ้าจะเรียกในภาษาทั่วไปในปัจจุบันก็อาจเรียกว่า โสเภณีทางศาสนา (religious prostitute) หรือบางทีก็เรียกโสเภณีศักดิ์สิทธิ์ (sacred prostitute)  

พระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมกล่าวถึง "เทวทาส" และ "เทวทาสี" ไว้อย่างนี้ว่า

"..ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาสี  อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส  ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี หรือค่าจ้างจากหมา มาในวิหารของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด   เพราะสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน"  
(เฉลยธรรมบัญญัติ 23:17-18) 

คำว่า เทวทาส และ เทวทาสี หรือจะเรียกว่า ทาสของเทพเจ้าที่่มีทั้งชายหรือหญิง ก็ได้ หมายถึง ชายหรือหญิงผู้ให้การร่วมประเวณีในพิธีศาสนาแก่ผู้มาทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า   แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นหญิงจะมีมากกว่า

ทัศนะของคริสเตียนต่อประเพณีการไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนแคะในไต้หวัน

(เขียนโดย โจเอล นอร์ดเวดท์   และผู้แปล ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์   จากหนังสือ "คริสตชนบนวิถีไทย"  โดย ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ สำนักพิมพ์ ซีอีดี) 

ประเพณีการไหว้บรรพบุรุษของคนจีนเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดอันหนึ่งในการประกาศพระกิตติคุณในไต้หวันมาโดยตลอด จากการศึกษาของผู้เขียนเกี่ยวกับคนจีนแคะได้ให้ความเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า คริสเตียนเราจำเป็นต้องมีการประเมินท่าทีทัศนคติและคำสอนเรื่องการไหว้บรรพบุรุษของคนจีนเสียใหม่ ผู้เขียนเขียนบทความนี้จากประสบการณ์และการติดต่อกับชาวจีนแคะด้วยตนเอง ความคิดที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้ไม่ว่าจะถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางเพียงใดก็ตาม ก็ควรได้รับการตัดสินจากท่านผู้อ่านด้วยประสบการณ์ที่กว้างขวางออกไป

สถานการณ์คริสเตียนในสหรัฐ : สงครามวัฒนธรรม

โดย ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์
อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
***

สหรัฐอเมริกาปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "สงครามวัฒนธรรม" (Culture Wars) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ 2 แบบที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ความขัดแย้งระหว่างโลกทัศน์ที่แตกต่างทั้งสองนี้ กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมอเมริกันทั้งมวล  ลองพิจารณาดูจากเรื่องต่อไปนี้

เรื่องที่หนึ่ง แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) นักเทศน์ที่มีชื่อเสียงทางสื่อ ซึ่งเป็นชาวคริสต์อนุรักษนิยม(Conservative Christian) และเป็นผู้นำศาสนาฝ่ายขวาสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวโจมตีพวกเสรีนิยม(liberals) ซึ่งเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ(Evolution Theory) และการแยกรัฐกับศาสนา ว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกายิ่งกว่าผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ 11 กันยายน สงครามเย็น(กับอดีตสหภาพโซเวียต) และสงครามกลางเมืองเสียอีก

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์เบญจบรรณ มีความจริงทางประวัติศาสตร์เพียงไร ตามการตีความของคาทอลิก

(บทความนี้เขียนโดยนักวิชาการคาทอลิกเพื่ออธิบายวิธีการตีความหมายพระธรรม 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์   ซึ่งก็จะเป็นการสะท้อนว่า  ในการตีความหมายของคาทอลิก  ถือว่าเรื่องเล่าในหนังสือปัญจบรรพ (หรือเบญจบรรณ)  มีความจริงทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงไร?)  ....   

หนังสือเบญจบรรณ หรือปัญจบรรพ  หมายถึงหนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมักเชื่อกันว่าผู้เขียนคือท่านโมเสส    ก่อนจะตอบคำถามที่ว่า เรื่องเล่าในหนังสือปัญจบรรพ (หรือเบญจบรรณ) มีความจริงทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงไร?   เราต้องมาทำความเข้าใจเรืองความเป็นมาของการเรียบเรียงหนังสือปัญจบรรพเสียก่อน จึงจะตีความหมายได้อย่างถูกต้อง

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อคาทอลิกขอชี้แจงโปรเตสแต๊นท์



(หมายเหตุ:  บทความนี้เดิมชื่อ "ศรัทธาพาหลง : โปรแตสแตนท์และคาทอลิก ความสัมพันธ์บนความเข้าใจผิดที่มิอาจแก้ไขได้?"   เขียนโดย  บาทหลวงไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.  -  ข้าพเจ้าได้มีการตัดทอนบางส่วนออกไปเพื่อให้กระชับขึ้น)   อ่านจบแล้วท่านผู้อ่านสามารถสะท้อนความคิดเห็นได้  
                                                       Dr.Sinchai
...................

ผมมีโอกาสได้อ่านบทความที่เป็น "การเปรียบเทียบระหว่างศาสนาโรมันคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์" ที่เขียนโดยพี่น้องโปรเตสแต๊นท์    เมื่ออ่านจบแล้วก็รู้สึกว่าผมน่าจะเขียนอะไรชี้แจงบ้าง เนื่องจากว่าข้อมูลที่นำมาเปรียบเทียบระหว่างศาสนาพี่น้องคู่นี้มีความไม่สมบูรณ์และความเข้าใจผิดปะปนอยู่มาก

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่าฝ่ายคาทอลิกเป็นผู้ร้ายและฝ่ายโปรแตสแตนท์เป็นพระเอก  

ผมเดาเอาว่าผู้จัดทำคงจะแปลเนื้อหามาจากแหล่งข้อมูลที่เขียนโดยพี่น้องโปรแตสแตนท์ที่ยังไม่เข้าใจคาทอลิกดีพอ เป็นต้นว่าในด้านข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และมุมมองจากความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแอ

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้จัก "ศาสนวิทยา" และ "ผู้เขียน"

ศาสนวิทยาคืออะไร? 

"ศาสนวิทยา" ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาปรากฎการณ์และแนวคิดทางศาสนาที่ครอบคลุมทุกด้านอย่างเป็นวิทยาศาสตร์  มีทั้งปรัชญาศาสนา  มนุษยวิทยาศาสนา   สังคมวิทยาศาสนา  จิตวิทยาศาสนา  เทวศาสตร์ และศาสนศาสตร์ 

คำว่า "ศาสนวิทยา" เคยมีนักวิชาการบัญญัติเป็นคำภาษาอังกฤษว่า  “Religiology”  ว่ากันว่าคนใช้คนแรกคือ Hideo Kishimoto โดยหมายถึง การศึกษาเรื่องของศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์  (“science of religion” or “scientific study of religion,”)  ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของคำภาษาเยอรมันว่า "Religionswissenschaft"  ซึ่งนักวิชาการหลายคนชอบคำนี้มากกว่า "ศาสนศึกษา" หรือ  “Religious Studies.”  



Author: Hideo Kishimoto : Numen, Volume 14, Issue 1, pages 81 – 86, Publication Year :1967



มีผู้ถามมาว่า การจะเป็นนักศาสนวิทยาได้ ต้องรู้เรื่องศาสนาต่างๆมากๆใช่หรือไม่?

ขอตอบว่า ก็ใช่  แต่ไม่ใช่แค่รู้เรื่องศาสนา แต่ควรต้องรู้ถึงความรู้สึกและประสบการณ์ทางศาสนา รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องทั้งระดับส่วนบุคคลและสังคมด้วย

มีคำถามต่อว่า แล้วจะเป็นนักศาสนวิทยาที่ดีได้อย่างไร? ขอตอบว่า ต้องใฝ่รู้ทั้งเชิงกว้างและลึก และต้องมีใจเป็นกลางและเป็นธรรมต่อทุกศาสนาทุกความเชื่อ เข้าใจความคิดและความรู้สึก ทั้งแบบคนนอกและคนใน ทั้งแบบคนเห็นด้วยและแบบคนคัดค้าน ถ้าจะให้ดีมากต้องสามารถสวมความรู้สึกของหลายๆความเชื่อได้

และแน่นอนต้องรู้ที่มา พัฒนาการ สถานการณ์ ผลกระทบ จนถึงแนวโน้มอนาคตด้วย

ที่สำคัญมากที่ต้องไม่เข้าใจผิดคือ นักศาสนวิทยาไม่ใช่ศึกษาแต่เรื่องของการนับถือศาสนาเท่านั้น แต่ศึกษารวมถึงการไม่นับถือศาสนา การทิ้งศาสนา การเปลี่ยนศาสนา หรือการปรับศาสนา ฯลฯ เหล่านี้ในทุกรูปแบบทุกมิติด้วย

นอกจากนี้ ในอีกด้านหนึ่ง ศาสนวิทยาต้องเป็นนักปรัชญาสาขา "นักจริยศาสตร์" (ethicist) ไปในเวลาเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะศาสนาเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริยศาสตร์โดยตรง ซึ่งการเป็นนักจริยศาสตร์ทำให้ต้องพิจารณาเรื่องว่าอะไร "ถูกผิดดีชั่วควรไม่ควร" หรืออะไรถูกผิดดีชั่ว"มากกว่ากัน" ทั้งจากฐานคิดเชิงศาสนา ปรัชญา และอื่นๆ


มีคนถามมาหลายครั้งว่าต่างกันยังไงระหว่าง ศาสนศาสตร์ ศาสนศึกษา กับ ศาสนวิทยา?   ขอตอบคร่าวๆ อย่างนี้ และไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องเห็นด้วย

ศาสนศาสตร์...เรียนหนึ่งศาสนา เพื่อรู้ ศรัทธา และประยุกต์ใช้
ศาสนศึกษา...เรียนหลายศาสนา เพื่อรู้ เปรียบเทียบ และประยุกต์ใช้
ศาสนวิทยา...เรียนทุกประเภทศาสนา รวมทั้งที่ต่อต้านศาสนา และทุกแง่ของศาสนา รวมทั้งประวัติศาสตร์พัฒนาการ  ปรากฎการณ์   เพื่อรู้ เปรียบเทียบ ประยุกต์ใช้ จนถึงวิเคราะห์ วิพากษ์ เและสังเคราะห์

ตัวผู้เขียนเองได้ศึกษาด้านศาสนวิทยามามาก เห็นประโยชน์ในเรื่องนี้ และมีภาระใจที่อยากจะให้ความรู้ด้านนี้แก่คนไทย ซึ่งในการนำเสนอก็กระทำอย่างเปิดเผยตัวเอง อย่างไม่ปิดบังอำพราง เพื่อแสดงถึงความเปิดเผย จริงใจ และพร้อมรับผิดชอบ


จุดยืนของข้าพเจ้าในการนำเสนอเรื่องศาสนวิทยาในประเทศไทย : 

1. นำเสนอวิชาการด้านศาสนวิทยา  ปรัชญาและจิตวิญญาณธรรม
2. ยึดความรู้และความจริง อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน
3. เป็นกลางทางศาสนา ไม่ได้ทั้งสนับสนุนหรือต่อต้าน ทั้งต่อศาสนาโดยรวมหรือต่อศาสนาใดๆ และยอมรับการเป็นอศาสนิก
4. เป็นกลางและเป็นธรรมสำหรับทุกแนวคิดทางศาสนา ไร้อคติ  ยึดตามความเที่ยงตรงทางหลักวิชาการ
5. ส่งเสริมการแยกรัฐจากศาสนา หรือการเป็นรัฐโลกวิสัย การเปิดเสรีทางศาสนา และการเท่าเทียมทางศาสนา
6. ส่งเสริมการมีสิทธิเสรีภาพทางศาสนาและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น(เกี่ยวกับศาสนา) และไม่สนับสนุนการมีกฎหมายห้ามหมิ่นศาสนาและการห้ามการแสดงความคิดเห็นที่สร้างความเกลียดชัง(ทางศาสนา) และไม่ถือว่าการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาถือเป็นการ "หมิ่นศาสนา" เว้นแต่มีการขู่อาฆาต 
7. มุ่งนำเสนอความจริงและความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ใช้เหตุผล สุภาพ ไม่หยาบคาย และไม่ล้อเลียน

หากเมื่อใดที่ท่านผู้อ่านรู้สึกว่า ข้อเขียนชิ้นใดของผู้เขียนไม่ยุติธรรม หรือไม่ถูกต้องใคร่ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า..

1. ก่อนอื่นเลยคือ ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านระคายเคือง ผู้เขียนก็ไม่สบายใจเช่นกันที่ทำให้ท่านผู้อ่านรู้่สึกเช่นนั้น
2. โปรดทราบว่า ผู้เขียนตระหนักอย่างยิ่งว่า เรื่องของศาสนาเป็นเรืองที่อ่อนไหวอย่างที่สุด และก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำเสนอให้ทุกคนพอใจได้ แต่โปรดเชื่อว่า ผู้เขียนพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบด้าน เป็นกลางและเป็นธรรม
3. ท่านสามารถแสดงความเห็นได้ทั้งที่ช่องแสดงความคิดเห็น หรือทางข้อความส่วนตัว ผู้เขียนขอน้อมรับฟังทุกความคิดเห็น และจะพิจารณาไตร่ตรองด้วยใจเป็นธรรม ใจที่พร้อมจะเรียนรู้ และพร้อมจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงแนวคิดหากพบว่าเป็นจริง
4. บางเรื่้องที่ผู้เขียนนำมาโพสท์เป็นเพียงนำมาให้ดูเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าผู้เขียนเห็นด้วยกับทุกเรื่อง
5. ท่านอาจมั่นใจขึ้นหากได้ติดตามมาตั้งแต่ต้น หรือติดตามมาเป็นเวลานาน ซึ่งหากท่านย้อนกลับไปอ่านบทความเดิมๆ ได้ก็จะช่วยได้มาก


ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์


*********
ประวัติสังเขปทางด้านศาสนวิทยา 


ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
Dr.Sinchai Chaojaroenrat 

การศึกษา  Education: 
  • Th.D. (Doctor of Religious Studies / Doctor of Theology ) Major in Theology ABGTS (Asian Baptist Theological Seminary)  ปริญญาเอก ศาสนวิทยา / ศาสนศาสตร์   วิชาเอก ศาสนศาสตร์   และ ศาสนวิทยา 
  • ปริญญาตรี รัฐศาสตร์  สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (B.Sc. Bachelor of Polotical Science)   มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 

การอบรมพิเศษ (Special Training) :
  • Leadership in Publishing Ministry  by Cook Communication  , Colorado Springs,  USA
  • Leadership in Christian Publishing Ministry by Lifeway International  , Nashville, USA
  • Special training in Philosophy, Buddhism, History, Religious Practice, Sociology and Anthropology,  Psychology, Counseling etc. (การศึกษาและฝึกอบรมเป็นพิเศษในด้าน ปรัชญา  ศาสนาเปรียบเทียบ  ประวัติศาสตร์  สังคมวิทยาและมนุษยวิทยา จิตวิทยา และการให้การปรึกษา ฯลฯ)  

งาน Job :
  • ประธานสถาบันอภิจิต SuperSoul
  • ประธานมูลนิธิพันธกิจชุมชน
  • Religiologist/ academics in Religiology, Theology, Philosophy, Anthropology, Political Science - นักวิชาการด้านศาสนวิทยา  ศาสนศาสตร์  ปรัชญา มนุษยวิทยา และรัฐศาสตร์ 
  • Director of CLI Publishing House - ผู้อำนวยการสถาบัน CLI และสำนักพิมพ์ CLI
  • Lecturer for universities, colleges and seminaries,   
  • Academician, author of nearly 50 books, lecturer, preacher , and advisor of some company. - นักวิชาการศาสนวิทยา ศาสนศาสตร์  นักปรัชญา  นักเขียน และวิทยากร ที่ปรึกษาบริษัทเอกชนบางแห่ง

ผลงานวิชาการ Academic books and essays: 
  • "ศาสนวิทยา กับศาสนายุคโพสท์โมเดิร์น"
  • "เสรีภาพทางศาสนา และรัฐโลกวิสัย"
  • "อภิจิต SuperSoul : กระบวนวิธีพัฒนาศักยภาพจิต"  
  • "ประวัติและพัฒนาการแห่งคริสตศาสนาและความสัมพันธ์กับอารยธรรมโลก"
  • ฯลฯ

และบทความอีกมากมาย  อ่านได้ทาง
facebook.com/dr.sinchai.chaojaroenrat
Blog : sinchaichao.blogspot.com

Some of those books ever wrote that are more than 50 books and a lot of articles. Looks the details in  

Email:  sinchaich@gmail.com 
Facebook Fanpage:  facebook.com/dr.sinchai.chaojaroenrat  ,

สนใจติดต่อสั่งซื้อหนังสือได้ที่ 


วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แนวโน้มของคริสเตียนในสหรัฐในภาพรวม

ที่มา www.religioustolerance.org/chr_tren.htm   ผู้แปล ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์

จากข้อมูลเร็วๆ นี้ได้บ่งชี้ถึงสถานการณ์ของศาสนาคริสต์ว่ายังคงมีความมั่นคงอยู่ จำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์มีสัดส่วน 34% ของทั้งโลก จึงยังคงเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก

ในพื้นที่ของอเมริกาเหนือกล่าวได้ว่าคริสเตียนยังคงมีความมั่นคงมาก ผู้ใหญ่ 3 ใน 4 คนเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน อันดับรองลงมาคือผู้นับถืออิสลาม และศาสนายิว ซึ่งมีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าความศรัทธาใน ศาสนาจะเสื่อมลงในหลายประเทศ แต่ในสหรัฐยังคงมีความเข้มแข็งอยู่ ในสหรัฐ จำนวนผู้ที่ไปโบสถ์ยังมีสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว


53 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันถือว่าศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของตน ในขณะที่ชาวอังกฤษจะถือเช่นนี้เพียง 16 เปอร์เซ็นต์ ในฝรั่งเศส 14 เปอร์เซ็นต์ และในเยอรมัน 13 เปอร์เซ็นต์

แต่ถึงกระนั้น ก็มีสัณญานที่น่าสนใจบางอย่างที่บ่งชี้ว่าศาสนากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในสหรัฐและทั่วโลก

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จุดยืนของมุสลิมต่อท่านอีซา (พระเยซู)
ขอขอบคุณที่มา http://www.answeringislam.net/Thai/reason_Isa_follow.html
เหตุผลการติดตามท่านอีซา
ถ้า พี่น้องมุสลิมทุกคนมาช่วยกันพัฒนาฟื้นฟูอิสลามกันใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับผู้ ที่ติดตามท่านอีซา และผู้ที่ตามท่านนบีมูฮัมมัด จะเป็นการดีถ้าทุกฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันได้ ขณะนี้ได้เข้าสู่ยุคสุดท้ายแล้วที่เราควรต้องร่วมมือกันทำให้มุสลิมทั่วโลก ได้กลับใจมาติดตามท่านอีซา มุสลิมทุกคนสามารถอยู่ร่วมกับสังคมอื่นได้แล้วบอกข่าวดีกับคนเหล่านั้นถึง เรื่องราวของท่านอีซา เป็นการรู้ซึ้งถึงหลักการที่แท้จริงของมุสลิม จะมีมุสลิมสักกี่คนที่กระตือรือร้น และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยให้สังคมมุสลิมของเรา มีระเบียบแบบแผนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันยอมรับซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน เป็นผู้ที่รักสันติจริงๆ เกรงกลัวต่อบาป ทั้งบาปเล็กบาปใหญ่ ไม่พูดจาดูถูกกันและกัน หรือดูหมิ่นขนบธรรมเนียมประเพณีของพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง นี่จึงไม่ใช่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสังคมมุสลิม แต่ท่านนบีมูฮัมมัด (ซ.ล.) ยังได้กล่าวไว้ใน ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ อายะฮ์ที่ 51 ; 57 ว่า

ศีลอดแสดงถึงพลังแห่งศรัทธาของยิว คริสเตียน และมุสลิม
Fasting shows sign of faith
โดย Julie Baker | The State News, Michigan
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

รัฐมิชิแกน, สหรัฐอเมริกา - ซามันธา เดรสซอร์, นักจิตวิทยาอาวุโส, มองว่าการถือศีลอดในวัน โยม คิพเพอะ (Yom Kippur - วันศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว เป็นวันอดอาหารและสวดมนต์ทั้งวันในโบสถ์ยิว) เป็นประเพณีแห่งการทำความสะอาดจิตใจและร่างกาย

เป็นเวลา 25 ชั่วโมงตั้งแต่พระอาทิตย์ตกเมื่อคืนนี้, ซามันธางดกินอาหารและดื่มน้ำเพื่อจะได้บรรลุตามข้อกำหนดของเทศกาลของชาวยิว, ซึ่งเริ่มตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยวันปีใหม่ยิว - หรือ โรช ฮาชนาห์ (Rosh Hashanah)

ซามันธาบอกว่าเธอเริ่มถือศีลอดในวันโยม คิพเพอะ ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 13 ปี ตอนได้รับอนุญาตโดยกฎหมายยิวให้เข้าพิธีถือศีลอดได้
"มันคล้ายๆ กับเป็นผลรวมของการถูกทำโทษและการชำระล้างร่างกายและจิตใจ" เธอกล่าว "เป็นเวลาที่ต้องมาชำระทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนซึ่งคุณต้องการการให้อภัย (จากพระเจ้า)"
ศาสนายูดาย (ยิว), คาทอลิก, และอิสลาม - มีการถือศีลอดประจำปีในช่วงวันหรือเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ของทางศาสนา

กรณีศึกษาเกี่ยวกับคริสตชนที่เปลี่ยนเป็นมุสลิม

ดร.มุรอด วิลฟรีด ฮอฟมานน์ Dr.Murad Wilfried Hofmann ค.ศ.1931 -
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล
ดร.มุรอด วิลฟรีด ฮอฟมานน์ (Dr.Murad Wilfried Hofmann) อดีตนักการทูตเยอรมัน หันมารับอิสลามในปี 1980 และเขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับอิสลามในโลกตะวันตก
ดร.ฮอฟมานน์เกิดในครอบครัวคาทอลิก ประเทศเยอรมนี จบการศึกษาจากยูเนี่ยนคอลเลจ (Union College) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ ต่อมาปี 1957 จบปริญญาเอกกฎหมายจากมหาวิทยาลัยมิวนิค เยอรมนี จากนั้นเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัย ต่อมาปี 1960 ไปจบปริญญาโทกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ
ปี 1983-87 ดร.ฮอฟมานน์เป็นผู้อำนวยการข่าวสารขององค์การนาโตที่กรุงบรัสเซลล์ เบลเยี่ยม ช่วงปี 1987-90 เป็นทูตเยอรมันประจำประเทศอัลจีเรีย และช่วงปี 1990-94 เป็นทูตที่ประเทศโมรอคโค ดร.ฮอฟมานน์ทำอุมรอฮในปี 1982 และฮัจย์ในปี 1992
การเข้าสู่อิสลามของดร.ฮอฟมานน์มาจากสาเหตุ 3 ประการคือ ความประทับใจในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวมุสลิมในอัลจีเรีย ความหลงใหลในศิลปะอิสลาม และความขัดแย้งในหลักการศาสนาคริสต์ที่เขียนโดยเซนต์ปอล
ประการแรก การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวมุสลิมในอัลจีเรีย ในปี 1961 ขณะที่ดร.ฮอฟมานน์ทำงานในสถานฑูตเยอรมนีประจำอัลจีเรีย มีการสู้รบระหว่างนักรบกู้ชาติอัลจีเรียเพื่อปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส กับกองทัพฝรั่งเศส ดร.ฮอฟมานน์ได้เห็นการสังหารหมู่ที่โหดร้าย ในอีกด้านก็เห็นการสู้ไม่ถอยของชาวอัลจีเรีย ทุกวันมีคนถูกฆ่าตายนับสิบ "ผมเห็นจะๆ กับตา" เพียงเพราะพวกเขาเป็นอาหรับหรือไม่ก็เรียกร้องอิสรภาพ "ผมเห็นความอดทน ความไม่ย่อท้อของชาวอัลจีเรียแม้พวกเขาต้องลำบากแสนสาหัส ความมีวินัยของพวกเขาในช่วงเดือนรอมดอน ความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องได้ชัยชนะ และความเอื้ออาทรของพวกเขาท่ามกลางวิปโยคแห่งชีวิต" ดร.ฮอฟมานน์เชื่อว่าชาวอัลจีเรียเป็นแบบนี้เพราะศาสนาของพวกเขา จากนั้นดร.ฮอฟมานน์จึงเริ่มศึกษาคัมภีร์ของพวกเขา - อัล-กุรอาน "แล้วผมก็ไม่เคยหยุดอ่านอัล-กุรอานเลยจนทุกวันนี้"