วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กรณีศึกษาเกี่ยวกับคริสตชนที่เปลี่ยนเป็นมุสลิม

ดร.มุรอด วิลฟรีด ฮอฟมานน์ Dr.Murad Wilfried Hofmann ค.ศ.1931 -
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล
ดร.มุรอด วิลฟรีด ฮอฟมานน์ (Dr.Murad Wilfried Hofmann) อดีตนักการทูตเยอรมัน หันมารับอิสลามในปี 1980 และเขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับอิสลามในโลกตะวันตก
ดร.ฮอฟมานน์เกิดในครอบครัวคาทอลิก ประเทศเยอรมนี จบการศึกษาจากยูเนี่ยนคอลเลจ (Union College) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ ต่อมาปี 1957 จบปริญญาเอกกฎหมายจากมหาวิทยาลัยมิวนิค เยอรมนี จากนั้นเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัย ต่อมาปี 1960 ไปจบปริญญาโทกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ
ปี 1983-87 ดร.ฮอฟมานน์เป็นผู้อำนวยการข่าวสารขององค์การนาโตที่กรุงบรัสเซลล์ เบลเยี่ยม ช่วงปี 1987-90 เป็นทูตเยอรมันประจำประเทศอัลจีเรีย และช่วงปี 1990-94 เป็นทูตที่ประเทศโมรอคโค ดร.ฮอฟมานน์ทำอุมรอฮในปี 1982 และฮัจย์ในปี 1992
การเข้าสู่อิสลามของดร.ฮอฟมานน์มาจากสาเหตุ 3 ประการคือ ความประทับใจในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวมุสลิมในอัลจีเรีย ความหลงใหลในศิลปะอิสลาม และความขัดแย้งในหลักการศาสนาคริสต์ที่เขียนโดยเซนต์ปอล
ประการแรก การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวมุสลิมในอัลจีเรีย ในปี 1961 ขณะที่ดร.ฮอฟมานน์ทำงานในสถานฑูตเยอรมนีประจำอัลจีเรีย มีการสู้รบระหว่างนักรบกู้ชาติอัลจีเรียเพื่อปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส กับกองทัพฝรั่งเศส ดร.ฮอฟมานน์ได้เห็นการสังหารหมู่ที่โหดร้าย ในอีกด้านก็เห็นการสู้ไม่ถอยของชาวอัลจีเรีย ทุกวันมีคนถูกฆ่าตายนับสิบ "ผมเห็นจะๆ กับตา" เพียงเพราะพวกเขาเป็นอาหรับหรือไม่ก็เรียกร้องอิสรภาพ "ผมเห็นความอดทน ความไม่ย่อท้อของชาวอัลจีเรียแม้พวกเขาต้องลำบากแสนสาหัส ความมีวินัยของพวกเขาในช่วงเดือนรอมดอน ความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องได้ชัยชนะ และความเอื้ออาทรของพวกเขาท่ามกลางวิปโยคแห่งชีวิต" ดร.ฮอฟมานน์เชื่อว่าชาวอัลจีเรียเป็นแบบนี้เพราะศาสนาของพวกเขา จากนั้นดร.ฮอฟมานน์จึงเริ่มศึกษาคัมภีร์ของพวกเขา - อัล-กุรอาน "แล้วผมก็ไม่เคยหยุดอ่านอัล-กุรอานเลยจนทุกวันนี้"

ประการที่สองคือ ศิลปะอิสลาม ดร.ฮอฟมานน์หลงใหลในศิลปะ ความงาม และระบำบัลเล่ต์มาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งเหล่านี้ดูด้อยลงไปเมื่อเขาได้มาพบกับศิลปะอิสลาม ดร.ฮอฟมานน์บอกถึงความประทับใจในศิลปะอิสลามว่า:
ความลับในศิลปะอิสลามน่าจะอยู่ที่ความลึกซึ้งและความเป็นสากลของอิสลาม ซึ่งปรากฎอยู่บนศิลปะการเขียนลายเส้นตัวอักษร การตกแต่งสไตล์อาหรับ ลวดลายในพรม สถาปัตยกรรมของมัสยิดและบ้านเรือน รวมไปถึงผังเมือง ผมคิดถึงความเจิดจ้าของมัสยิดที่ขจัดความลึกลับออกไป คิดถึงสถาปัตยกรรมพระราชวังของกษัตริย์มุสลิม ที่บ่งบอกถึงความคำนึงของพวกเขาต่ออุทยานในสรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วย แสงเงา น้ำพุ และธารน้ำใส โครงสร้างของชุมชนเมืองมุสลิมในอดีต ที่มีจิตวิญญาณของชุมชนและตลาด การเป็นหนึ่งเดียวกันของมัสยิดและศูนย์ช่วยเหลือของชุมชนที่ตั้งอยู่ติดกัน โรงเรียน โรงแรมที่พัก และอีกหลายๆ อย่าง...เป็นความลงตัวแบบอิสลาม"
ประการที่สาม และประการสำคัญที่สุดที่ทำให้ดร.ฮอฟมานน์รับอิสลามคือ ความขัดแย้งในหลักการศาสนาคริสต์ที่ไปๆ มาๆ เขียนโดยเซนต์ปอลต่างหาก ดร.ฮอฟมานน์มีความรู้ลึกซึ้งในประวัติศาสตร์และหลักความเชื่อของคริสตศาสนา เขารู้ว่าความเชื่อของชาวคริสต์ผู้ศรัทธากับสิ่งที่อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์สอนกันในมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างกันอย่างมาก เขารู้สึกแย่กับการที่คริสตจักรชื่นชอบและยอมรับหลักการที่ก่อตั้งขึ้นโดยเซนต์ปอลมากกว่าคำสอนของพระเยซู "เซนต์ปอลไม่เคยเจอพระเยซูเลย แต่หลักคำสอนของเขากลับเข้าไปแทนที่ทัศนะจูโด-คริสเตียนดั้งเดิมและที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเยซู"
เขาพบว่าตัวเองรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับว่ามนุษย์มี 'บาปกำเนิด' (original sin) และพระเจ้าต้องให้บุตรชายคนเดียวของพระองค์มาโดนทรมานและถูกสังหารบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์ "ผมเริ่มตระหนักว่ามันช่างน่ากลัวจริงๆ และถือเป็นการสบประมาทที่สุดที่ไปจินตนาการว่าพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาอย่างไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ และพระเจ้าไม่มีความสามารถแก้ไขอะไรได้เลยกับหายนะที่อดัมและอีฟได้ก่อขึ้นมา พระองค์จึงจำเป็นต้องให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาคนหนึ่ง และต่อมาก็สังเวยชีวิตลูกชายในแบบที่โหดร้ายที่สุด พระเจ้าจำต้องอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อมนุษย์...มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมาเอง!!!"
ดร.ฮอฟมานน์เลยหวนกลับไปสู่คำถามพื้นฐานที่ว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ หลังจากได้ศึกษางานที่เขียนโดยปราชญ์หลายคน รวมทั้ง Wittgenstein, Pascal, Swinburn, และ Kant แล้ว เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงแน่นอน คำถามต่อไปก็คือ แล้วพระเจ้าติดต่อกับมนุษย์อย่างไรล่ะเพื่อมอบทางนำให้กับมนุษย์ คำถามนี้ทำให้ดร.ฮอฟมานน์ตระหนักว่า ก็ต้องมีการนำพระวจนะของพระเจ้าสู่มนูษย์นะสิ! แต่อันไหนล่ะที่เป็นความจริง - ยิว-คริสเตียน หรือว่าอิสลาม?
ดร.ฮอฟมานน์ตอบคำถามนี้ได้เมื่อเขาพบกับประโยคต่อไปนี้ในอัล-กุรอาน:
...ไม่มีผู้แบกภาระคนใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้ (อัล-กุรอาน 53:38)
ประโยคนี้ทำให้ดร.ฮอฟมานน์กระจ่างแจ้งและมีคำตอบให้กับความสงสัยทั้งหมดของเขา ชัดเจน ไม่กำกวม ประโยคนี้บอกว่ามนุษย์มิได้มีบาปกำเนิด และไม่ต้องการนักบุญใดๆ มาคั่นกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า "มุสลิมอาศัยอยู่ในโลกนี้โดยปราศจากนักบวช หรือลำดับชั้นทางศาสนา; เมื่อมุสลิมละหมาด การวิงวอนต่อพระเจ้าก็ไม่ต้องผ่านใคร ไม่ต้องผ่านพระเยซู พระนางมารี หรือนักบุญคนอื่นๆ มุสลิมอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง - เป็นผู้ศรัทธาที่เป็นอิสระ - อิสลามคือศาสนาที่ปราศจากความลึกลับ"
ก่อนจะถึงวันครบรอบวันเกิดปีที่ 18 ของลูกชายของเขาในปี 1980 ดร.ฮอฟมานน์บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ 12 หน้ากระดาษ และให้ มุฮัมมัด อาฮ์หมัด ราสซูล อิหม่ามประจำเมืองโคโลญจน์อ่านดู หลังจากอ่านแล้วอิหม่ามราสซูลบอกว่า หากดร.ฮอฟมานน์เชื่อแบบที่ตัวเองเขียนมาทั้งหมดละก้อ - งั้นเขาก็เป็นมุสลิมนะสิ! ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วันดร.ฮอฟมานน์ก็ประกาศว่า "ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และมุฮัมมัดคือศาสนฑูตของพระองค์" วันนั้นคือวันที่ 25 กันยายน 1980
หลังรับอิสลามแล้ว เขาก็ยังคงทำงานเป็นนักการฑูตเยอรมันและเจ้าหน้าที่องค์การนาโตต่อไปอีก 15 ปี "ผมไม่รู้สึกว่าการเป็นมุสลิมของผมจะกระทบต่อหน้าที่การงาน" ดร.ฮอฟมานน์กล่าว
ในปี 1984 ประมาณ 3 ปีครึ่งหลังรับอิสลาม ดร.คาร์ล คาร์สัน ประธานาธิบดีเยอรมัน มอบรางวัล Order of Merit แห่งเยอรมนีให้กับดร.ฮอฟมานน์ รัฐบาลเยอรมันยังแจกจ่ายหนังสือ บันทึกของมุสลิมเยอรมัน (Diary of a German Muslim) ที่เขียนโดยดร.ฮอฟมานน์แก่สถานทูตเยอรมนีในประเทศมุสลิมทุกแห่งเพื่อให้เข้าใจวิถีชีวิตมุสลิม หน้าที่การงานของฮอฟมานน์มิได้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาอิสลาม เขาปฏิเสธการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิดทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาชื่นชอบไวน์แดงเป็นพิเศษ ในเดือนรอมดอน ดร.ฮอฟมานน์เลี้ยงต้อนรับแขกของสถานฑูตโดยที่จานตรงหน้าของเขาว่างเปล่า ต่อมาในปี 1995 เขาลาออกจากกระทรวงต่างประเทศเพื่ออุทิศตนให้กับการศึกษาและเผยแพร่อิสลาม
ในการถกถึงอันตรายอันเนื่องมาจากเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ดร.ฮอฟมานน์ได้เล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งของตัวเองว่า ในปี 1951 ช่วงเรียนปริญญาตรีที่นิวยอร์ก ระหว่างที่เขาขับรถจากแอตแลนตาไปยังมิสซิสซิปปี เมื่อถึงบริเวณโฮลี่สปริง มิสซิสซิปปี มีคนเมาขับรถมาชนรถเขา อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฟันของเขาหัก 19 ซี่ ทำให้ช่วงปากผิดรูปไปหมด หลังจากทำศัลยกรรมคางและสะโพกแล้ว แพทย์ผ่าตัดปลอบใจเขาว่า: "ถ้าเป็นกรณีทั่วๆ ไปนะ เจอแบบคุณเนี่ยต้องไม่รอด พระเจ้าต้องมีอะไรพิเศษสำหรับคุณแน่ๆ เลย, ผมว่านะ" ตอนออกจากโรงพยาบาลที่โฮลี่สปริงนั้น สภาพของเขาช่างเหลือทน "แขนเข้าเฝือกมีผ้าคล้องห้อยจากบ่า ผ้าพันแผลรอบเข่า ช่วงล่างของใบหน้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยแผลและยา" เขานึกว่าสภาพของเขาทำให้แพทย์ผ่าตัดพูดขึ้นมาข้างต้น
เพิ่งมาตระหนักเอาในวันหนึ่ง นานมากหลังจากนั้น "ในที่สุด อีก 30 ปีถัดมา เมื่อผมปฏิญาณตนเป็นมุสลิม ผมจึงรู้ซึ้งถึงความหมายของการรอดชีวิตของผมในตอนนั้น"
คำปฏิญาณตนของดร.ฮอฟมานน์:
"จนถึงขณะนี้ ด้วยความพยายามที่แน่วแน่และอย่างหาญกล้า ผมพยายามบันทึกข้อความให้เป็นระบบ ในความจริงที่ยึดหลักปรัชญา ซึ่งในความเห็นของผมแล้วมันจริงแท้โดยไม่ต้องสงสัย มนุษย์เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงในศรัทธาความเชื่อได้ เพราะสรรพสิ่งรอบข้างเราที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นประจักษ์พยานได้ดีว่า อิสลามเป็นความกลมกลืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่ามกลางความจริงทั้งปวง ดังนั้น ผมจึงค่อยๆ ตระหนักทีละน้อยโดยปราศจากความตื่นตกใจในความรู้สึกและความคิดที่ว่า ผมมีชีวิตที่ผ่านมาเพื่อจะเป็นมุสลิม เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้นที่จะต้องทำ คือการปฏิญาณตน
และวันนี้ผมเป็นมุสลิม ผมได้มาถึงแล้ว
"
ปัจจุบัน ดร.ฮอฟมานน์พำนักที่ตุรกี
ผลงานหนังสือของฮอฟมานน์
· Journey to Islam: Diary of German Diplomat 1951-2000
· Islam: The Alternative
· Journey to Makkah
· Islam 2000
· Islam in the Third Millennium: Religion on the Rise
อ้างอิง:


Copyright 2006 newmuslimthailand.com All rights reserved
ขอขอบคุณสำหรับที่มา :
new muslim thailand islam convert
http://www.newmuslimthailand.com/main/thirdpage.php?style=preview&spv=43&tpv=271&PHPSESSID=b63ba638d866215e6a4d4149d9496c54

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น