วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทัศนะของคริสเตียนต่อประเพณีการไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนแคะในไต้หวัน

(เขียนโดย โจเอล นอร์ดเวดท์   และผู้แปล ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์   จากหนังสือ "คริสตชนบนวิถีไทย"  โดย ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ สำนักพิมพ์ ซีอีดี) 

ประเพณีการไหว้บรรพบุรุษของคนจีนเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดอันหนึ่งในการประกาศพระกิตติคุณในไต้หวันมาโดยตลอด จากการศึกษาของผู้เขียนเกี่ยวกับคนจีนแคะได้ให้ความเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า คริสเตียนเราจำเป็นต้องมีการประเมินท่าทีทัศนคติและคำสอนเรื่องการไหว้บรรพบุรุษของคนจีนเสียใหม่ ผู้เขียนเขียนบทความนี้จากประสบการณ์และการติดต่อกับชาวจีนแคะด้วยตนเอง ความคิดที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้ไม่ว่าจะถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางเพียงใดก็ตาม ก็ควรได้รับการตัดสินจากท่านผู้อ่านด้วยประสบการณ์ที่กว้างขวางออกไป

เราอาจตั้งคำถามสำคัญข้อหนึ่งได้ว่า "ประเพณีการไหว้บรรพบุรุษถือว่าเป็นการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพหรือไม่?" ไม่นานมานี้ ฮาโรลด์ เน็ตแลนด์ (Harold Netland) ศาสตราจารย์ด้านพันธกิจมิชชั่นที่โรงเรียนคริสตศาสนศาสตร์ทรินิตี้ เขียนไว้ดังนี้ว่า

"การกราบไหว้นมัสการรูปเคารพเป็นความบาปและต้องถูกปฏิเสธ นี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ แต่การจะถือว่าอะไรเป็นการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพในวัฒนธรรมหนึ่งๆนั้นไม่อาจกำหนดโดยการศึกษาจากพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวได้ การจุดธูปต่อหน้าศพผู้ตายในงานศพตามธรรมเนียมพุทธนั้นถือเป็นการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพหรือไม่? แล้วเรื่องการถวายดอกไม้แก่ผู้ตายล่ะว่าไง?   หรือการโค้งคำนับ (หรือถ้าธรรมเนียมไทยก็คือการไหว้หรือกราบ-ผู้แปล) ล่ะ?  สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะถือเป็นการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่ขึ้นอยู่กับความหมายของการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพตามพระคัมภีร์เท่านั้น และยังขึ้นอยู่กับความหมายของธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ตามวัฒนธรรมนั้นๆอีกด้วย"


การตรวจสอบวัฒนธรรมของชาวจีนแคะจะช่วยให้เราทำให้ปัญหานี้กระจ่างชัดขึ้น ชาวจีนแคะก็เหมือนกับชาวจีนอื่นๆ ที่ให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษอย่างสูง ลัทธิขงจื้อกำหนดชีวิตและธรรมจรรยาในแง่ของการประสานกลมกลืนในความสัมพันธ์ จากหลักคำสอนของขงจื้อ เขาเชื่อว่าชีวิตจะต้องประสานกลมกลืนกันและจะต้องอุทิศให้แก่การอยู่ร่วมกันของชีวิตทั้งหลายอย่างเป็นสุข การแสดงความกตัญญูเป็นแก่นคำสอนของลัทธิขงจื้อ หากปราศจากสิ่งนี้ ระบบความสัมพันธ์ก็ล่มสลาย การแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสของแต่ละคนเป็น "มรดก" ของประเพณี     เมื่อพ่อแม่แก่ตัวลงและไม่สามารถดูแลัวเองได้ เป็นหน้าที่ของลูกๆ ที่ต้องดูแลท่าน คริสเตียนก็ถือว่านี่เป็นคุณธรรมอย่างสูงเช่นกัน

ในพระธรรม 1 ทิโมธี 5:8 เปาโลยืนยันว่า "ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก"    ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราย่อมสามารถเข้าใจและสนับสนุนการแสดงความกตัญญูเมื่อการกระทำนั้นกระทำกับชีวิตในโลกนี้ ปัญหาคือว่า สำหรับชาวจีนแคะ (และชาวจีนอื่นๆ อีกมากมาย) การแสดงความกตัญญูไม่เพียงแต่ดูแลความเป็นอยู่ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังต้องคอยดูแลความเป็นอยู่ของคนที่ตายไปแล้วด้วย

ในโลกทัศน์ของคนจีนแคะ เมื่อคนใดคนหนึ่งตายลง วิญญาณของเขาจะเข้าสู่โลกวิญญาณ  โลกวิญญาณอันนี้ยังคงอยู่และเดินเคียงคู่ไปกับโลกที่เราอยู่ เพียงแต่อยู่คนละมิติ คนตายที่ยังคงอยู่และเรามองไม่เห็นนี้ยังมีปฏิสัมพันธ์กับโลกของเรา วิญญาณของบรรพบุรุษยังพึ่งพิงลูกหลานให้คอยเลี้ยงดู  ไม่ว่าจะเป็นธูป อาหาร เงินกงเต็ก และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือความเคารพ  

สำหรับคนจีนแคะ การไม่ทำสิ่งเหล่านี้เท่ากับละเลยความต้องการของบรรพบุรุษ คนจีนแคะส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนสัมภาษณ์ การไหว้บรรพบุรุษไม่เหมือนกับการไหว้เจ้า (หรือกราบไหว้นมัสการรูปเคารพ-ผู้แปล) เมื่อคนจีนแคะไหว้เจ้าที่ศาลเจ้าที่ใดที่หนึ่ง จะต้องขออนุญาตเจ้าก่อน แต่สำหรับการไหว้บรรพบุรุษนั้น ไม่ต้องขออนุญาต แต่เป็นการแสดงความกตัญญูตามหน้าที่ บางคนเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเลี้ยงดูจากลูกหลานจริงๆ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ คิดว่าบรรพบุรุษไม่ได้สนใจหรอกว่าลูกหลานทำอะไรให้ แต่การแสดงออกถึงความกตัญญูนั่นแหละที่สำคัญ ส่วนบรรพบุรุษจะรับหรือไม่รับของไหว้ของลูกหลานก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ผู้เขียนตระหนักว่า มีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงบางคนกล่าวว่า การไหว้บรรพบุรุษกระทำเพื่อจะได้รับพรจากผู้ตาย (Thomson, 1989:48) แต่การวิจัยของผู้เขียนเองบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างการไหว้บรรพบุรุษกับแนวคิดเรื่อง "ลี้" ของจีนมากกว่า แนวคิดเรื่อง "ลี้" หมายถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมาะสมภายในความสัมพันธ์ ขงจื้อกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ขณะที่ (พ่อแม่) ยังอยู่ จงปรนนิบัติท่านด้วยลี้ เมื่อท่านตาย จงฝังท่านด้วยลี้ บูชาท่านด้วยลี้" ฉะนั้น ในโลกทัศน์ของคนจีนแคะ จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะปรนนิบัติพ่อแม่ตลอดไป ไม่เพียงแต่ยามมีชีวิตอยู่เท่านั้น  

โดยธรรมเนียมแล้ว คนจีนที่เป็นคริสเตียนใหม่จะถูกสอนว่าพวกเขาไม่สามารถไหว้บรรพบุรุษได้อีกต่อไปหลังจากที่พวกเขารับบัพติศมาแล้ว และบ่อยครั้งที่จะมีการทำพิธีเผาป้ายบรรพบุรุษ เพื่อเป็นการตัดความสัมพันธ์กับธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษอย่างเด็ดขาด ผลก็คือคริสเตียนมักจะถูกมองจากคนจีนแคะรุ่นเก่าว่าเป็นคนอกตัญญูอย่างยิ่ง ส่วนคนจีนแคะทั่วไปที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนก็รู้สึกว่าพวกคริสเตียนตัดขาดตัวเองจากครอบครัวและเครือญาติ

การตอบสนองของคริสเตียน มีสองประเด็นเกี่ยวกับธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษที่คริสเตียนควรมาคิดซ้ำอีกครั้ง   ประเด็นแรกคือ การแบ่งแยกระหว่างการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพกับการไหว้บรรพบุรุษ และประเด็นที่สองคือ    การหาวิธีที่จะแสดงความเคารพและความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ทั้งเหมาะสมกับวัฒนธรรมและไม่ผิดพระคัมภีร์

ในประเด็นแรก การกราบไหว้นมัสการรูปเคารพแน่นอนว่าเป็นบาป   คริสเตียนเราต้องไม่ประนีประนอมที่จะนมัสการพระอื่นนอกจากพระเจ้าองค์เที่ยงแท้เท่านั้น   เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูและรับบัพติศมา เขาต้องละทิ้งการกราบไหว้นมัสการรูปเคารพหันมาหาพระเจ้า   อย่างไรก็ตาม เราก็ควรเข้าใจธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษด้วยทัศนคติที่ต่างจากเดิม    ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่การกราบไหว้นมัสการรูปเคารพ แต่เป็นเรื่องการขาดความเข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ ใครก็ตามที่เชื่อว่าคนตายในโลกวิญญาณจะอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงดูของคนในโลกวัตถุ    หากเขาไม่เซ่นไหว้บรรพบุรุษ เขาก็ย่อมต้องเป็นคนอกตัญญูแน่

ฉะนั้น ถึงแม้เราจะถือว่าการไหว้บรรพบุรุษเป็นความผิด    เราก็ยังต้องเข้าใจเขาว่าเขาทำเช่นนั้นด้วยความไม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้ทำเพราะตั้งใจกบฏต่อพระเจ้า   เราควรคาดหวังให้คริสเตียนใหม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณเพิ่มขึ้นหลังจากที่เขารับเชื่อและรับบัพติศมาแล้ว (พูดง่ายๆ คือให้เขาค่อยๆ เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงการกระทำเรื่องนี้ภายหลังจากรับเชื่อหรือรับบัพติศมาแล้ว มากกว่าที่จะต้องให้เขาเปลี่ยนเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะรับเชื่อและรับบัพติศมา)

การสอนผู้เชื่อใหม่ให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับคนหลังจากที่ตายแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญมาก   ในไม่ช้าพวกเขาก็จะเข้าใจเองว่าการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและอาจทำให้เขาเข้าใจผิด    พวกเขาควรได้รับการหนุนใจให้เผชิญหน้ากรณีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในบริบทของความเชื่อใหม่  หลังจากที่คนๆ หนึ่งกลับใจเป็นคริสเตียน เขาต้องถูกสอนให้ดำเนินชีวิตตามความเชื่อใหม่ และวิธีการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่มั่นคงและสมดุล ซึ่งจะครอบคลุมทุกพื้นที่ของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติของคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์

ส่วนประเด็นที่สองคือเรื่องที่ว่า คริสเตียนต้องรู้จักแสดงการเคารพต่อบรรพบุรุษด้วยวิธีที่เหมาะสม ในเมื่อคนยิวในสมัยพระคัมภีร์แสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของพวกเขา คนจีนแคะก็ควรแสดงด้วยเช่นกัน   ฉะนั้น แทนที่จะเลือกไม่ร่วมในการกราบไหว้บรรพบุรุษใดๆ อย่างสิ้นเชิง  คริสเตียนควรเปลี่ยนมาเป็นใช้วิธีแสดงความเคารพที่ไม่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์แทน การตอบสนองของคริสเตียนชาวจีนแคะ คริสเตียนชาวจีนแคะได้เริ่มต้นดำเนินการในเรื่องนี้จนเสร็จสิ้นแล้ว แทนที่จะจุดธูปในพิธีศพให้แก่ผู้ตายดังที่คนทั่วไปมักจะทำ หรือคอยหลบๆ เลี่ยงๆ งานศพเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังเช่นที่คริสเตียนทั่วไปมักทำ (รวมทั้งผู้เขียนด้วย)  

คริสเตียนชาวจีนแคะจะได้รับการหนุนใจให้คำนับ (เทียบกับธรรมเนียมไทยก็คือการไหว้-ผู้แปล) และวางดอกไม้ไว้บนโต๊ะแสดงความเคารพ การคำนับ (หรือไหว้)  สำหรับคนจีนแคะการทำเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงการนมัสการ แต่เป็นการแสดงความเคารพ   หลังจากพิธีศพผ่านไปเจ็ดสัปดาห์ แทนที่จะเชิญคนมาสวดเพื่อให้วิญญาณผู้ตายสงบสุข   คริสเตียนชาวจีนแคะจะมาชุมนุมกันและพูดถึงความหมายของความตายและระลึกถึงความดีของผู้เป็นที่รักที่จากไป   ในวันทำความสะอาดหลุมศพ คริสเตียนชาวจีนแคะจะรวมในการทำความสะอาดหลุมศพ และอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับบรรพบุรุษ และวางดอกไม้ที่หลุมศพด้วย บางคนก็มีการรับประทานอาหารด้วยกันเพื่อเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ รวมทั้งเชิญบรรดาญาติมิตรมาร่วมงานเลี้ยงด้วย การทำเช่นนี้ทำในลักษณะของการขอบคุณพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นการมาพบปะกันเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ

องค์การประกาศพระกิตติคุณแก่ชาวจีนแคะโลก (The World Hakka Evangelical Association) ได้เตรียมเอกสารเพื่อหนุนใจคริสเตียนชาวจีนแคะให้ใช้แผนภูมิที่แสดงลำดับของวงศ์วานบรรพบุรุษมาแทนที่ป้ายบรรพบุรุษและธูป รูปภาพของบรรพบุรุษจะถูกตั้งหรือแขวนไว้ในที่ๆ เด่นเป็นสง่า นี่จะเป็นการแสดงความเคารพและระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราแสดงความเคารพตามธรรมเนียมของชาวจีนแคะ ซึ่งหากเราไม่กระทำ ก็จะเกิดกำแพงที่กีดขวางพวกเขาจากพระกิตติคุณโดยไม่จำเป็น เราจำเป็นต้องขจัดกำแพงหรืออุปสรรคที่ไม่จำเป็นทั้งหลายออกไป เพื่อไม่ให้มันขัดขวางผู้คนเหล่านี้จากการพิจารณาข่าวประเสริฐแห่งความรอดในพระเยซูคริสต์ พวกเขาเป็นผู้ที่พระเยซูทรงรักและทรงสละชีวิตให้ ไม้กางเขนของพระเยซูเป็นเพียง "หินสะดุด" อันเดียวเท่านั้นที่เราไม่ควรขจัด ขอให้พวกเราทำทุกทางที่ทำได้เพื่อเตรียมทางให้คนจีนแคะและจีนอื่นๆ ได้ยินและรับพระกิตติคุณโดยไม่ติดอุปสรรคเกี่ยวกับการเข้าใจผิดทางวัฒนธรรม

*******
แปลโดย  ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น