วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์เบญจบรรณ มีความจริงทางประวัติศาสตร์เพียงไร ตามการตีความของคาทอลิก

(บทความนี้เขียนโดยนักวิชาการคาทอลิกเพื่ออธิบายวิธีการตีความหมายพระธรรม 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์   ซึ่งก็จะเป็นการสะท้อนว่า  ในการตีความหมายของคาทอลิก  ถือว่าเรื่องเล่าในหนังสือปัญจบรรพ (หรือเบญจบรรณ)  มีความจริงทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงไร?)  ....   

หนังสือเบญจบรรณ หรือปัญจบรรพ  หมายถึงหนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมักเชื่อกันว่าผู้เขียนคือท่านโมเสส    ก่อนจะตอบคำถามที่ว่า เรื่องเล่าในหนังสือปัญจบรรพ (หรือเบญจบรรณ) มีความจริงทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงไร?   เราต้องมาทำความเข้าใจเรืองความเป็นมาของการเรียบเรียงหนังสือปัญจบรรพเสียก่อน จึงจะตีความหมายได้อย่างถูกต้อง

ความเป็นมาของการเรียบเรียงหนังสือปัญจบรรพ

อย่างน้อยตั้งแต่ต้นคริสตกาล ประชาชนทั่วไปคิดว่าโมเสสเป็นผู้ประพันธ์หนังสือปัญจบรรพทั้งห้าเล่มนี้ พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ไม่เคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย (ยน 1 : 45; 5:45-47; รม 10:5 ) อย่างไรก็ตาม ธรรมประเพณีโบราณที่สุดไม่เคยยืนยันโดยตรงว่าโมเสสเป็นผู้เขียนหนังสือปัญจบรรพทั้งหมด แม้บางครั้ง (ซึ่งน้อยมาก) หนังสือปัญจบรรพจะใช้วลี“โมเสสเขียนว่า” แต่ก็หมายถึงเพียงข้อความสั้นๆ เท่านั้น โดยแท้จริง นักวิชาการสมัยใหม่ได้สังเกตเห็นว่าลีลาการเขียนไม่คงที่เป็นแบบเดียวกัน มีข้อความเล่าเรื่องซ้ำหรือขัดแย้งกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่หนังสือปัญจบรรพทั้งหมดจะเป็นผลงานของผู้เขียนคนเดียว นักวิชาการพยายามค้นคว้าหาคำตอบแก่ปัญหาดังกล่าวด้วยความยากลำบาก

ในที่สุด ปลายศตวรรษที่ 19 สมมติฐานข้อหนึ่งก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป  สมมติฐานนี้ส่วนใหญ่เป็นผลงานของกราฟ และของเวลล์ฮาวเซน   ตามทฤษฎีนี้ หนังสือปัญจบรรพเป็นผลการรวบรวมเอกสารสี่ฉบับ ซึ่งเขียนในสถานที่และเวลาต่างกัน และทั้งหมดเขียนภายหลังสมัยโมเสสนานทีเดียว ตามทฤษฎีนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีเอกสารที่เป็นเรื่องเล่าสองฉบับ เรียกว่า “ตำนานยาห์วิสต์” (เอกสาร J ) ซึ่งใช้พระนาม “พระยาห์เวห์”ที่พระเจ้าทรงเผยให้โมเสส เรียกพระเจ้าตั้งแต่เล่าเรื่องการเนรมิตสร้าง    เอกสารที่สองเรียกว่า “ตำนานเอโลฮิสต์” (เอกสาร E) เพราะเรียกพระเจ้าด้วยสามัญนามว่า “เอโลฮิม”

เอกสารยาห์วิสต์เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในอาณาจักรยูดาห์ราวศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล ส่วนเอกสารเอโลฮิสต์เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในอาณาจักรอิสราเอลหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากที่อาณาจักรเหนือถูกทำลาย เอกสารทั้งสองฉบับนี้ถูกนำมารวมกัน (กลายเป็น JE ) ต่อมาหลังรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ “เอกสารเฉลยธรรมบัญญัติ” (เอกสาร D ) ได้ถูกต่อเติมเข้าไปกลายเป็น JED และในที่สุดหลังจากสมัยเนรเทศที่บาบิโลน “ตำนานสงฆ์” (เอกสาร P ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่มีเรื่องเล่าปนอยู่บ้างด้วย ได้ถูกต่อเติมเข้ามาอีก กลายเป็น JEDP

“ทฤษฎีเอกสาร” ในแบบดั้งเดิมผูกติดอยู่กับทฤษฎีวิวัฒนาการความคิดทางศาสนาของชาวอิสราเอล จึงไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการบางคน บางคนยอมรับโดยมีเงื่อนไขจะต้องปรับปรุงความคิดบางประการเสียก่อน โดยแท้จริงแล้วไม่มีนักวิชาการสองคนที่เห็นพ้องกันทุกประการในการตัดสินว่า ข้อความตอนไหนมาจากเอกสารใดจาก “เอกสาร” สี่ฉบับข้างต้น   อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการค้นคว้าพิจารณาคำที่เขียนเพียงอย่างเดียวไม่พอเพื่ออธิบายว่าหนังสือปัญจบรรพถูกเขียนขึ้นอย่างไร   สิ่งที่จะต้องค้นคว้าเพิ่มเติมคือรูปแบบวรรณกรรมและธรรมประเพณีทั้งปากเปล่า และเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งมีอยู่ก่อนการเขียนเอกสารทั้งสี่ฉบับ  เอกสารแต่ละฉบับ แม้แต่ตำนานสงฆ์ที่เขียนก็ยังมีข้อมูลที่โบราณมาก

การค้นพบวรรณกรรมโบราณในภาษาที่ตายแล้วของตะวันออกกลางและข้อมูลต่างๆ จากนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์  ทำให้เราสามารถรู้จักอารยธรรมเก่าแก่ของชนชาติเพื่อนบ้านของอิสราเอล  แสดงว่ากฎหมายและสถาบันหลายอย่างที่กล่าวถึงในหนังสือปัญจบรรพมีความคล้ายคลึงกันกับกฎหมายและสถาบันที่มีกล่าวถึงในวรรณกรรมเหล่านั้นซึ่งเขียนไว้ก่อนที่จะมีการบันทึก“เอกสาร” ทั้งสี่ของหนังสือปัญจบรรพเสียอีก     ยิ่งกว่านั้นเรื่องเล่าหลายเรื่องสะท้อนสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างและโบราณกว่าสภาพความเป็นอยู่เมื่อ “ เอกสาร” เหล่านี้เขียนขึ้น

การค้นพบและข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าเรื่องราวจากธรรมประเพณีต่างๆ เก็บรักษาไว้ตามสักการสถานหลายแห่ง หรือรับการถ่ายทอดต่อกันมาโดยนักเล่าเรื่องแบบชาวบ้าน เรื่องราวเหล่านี้ถูกจัดไว้ด้วยกันเป็นชุดๆ แล้วเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อโอกาสอำนวย  แต่ข้อเขียนในครั้งแรกนี้ยังไม่ตายตัว มีการเรียบเรียง ปรับปรุง ต่อเติมและนำมารวมกันเป็นหนังสือปัญจบรรพเช่นที่เรามี “แหล่งข้อมูล” ที่เป็นลายลักษณ์อักษรของหนังสือปัญจบรรพเป็นเพียงขั้นตอนพิเศษช่วงหนึ่งของ วิวัฒนาการอันยาวนานของเรื่องราวจากธรรมประเพณีต่างๆ ที่แม้จะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ก็ยังรับการปรับปรุงแก้ไขต่อไปในภายหลังอีก

ความคิดที่ว่ามีธรรมประเพณีหลายสายในการเรียบเรียงหนังสือปัญจบรรพนั้นเห็นได้ชัดในข้อความสองตอนที่เล่าเรื่องเดียวกันโดยมีรายละเอียด ทั้งที่เหมือนกันและที่ขัดแย้งกัน ผู้อ่านพระคัมภีร์จะพบเรื่องราวซ้ำเช่นนี้ตั้งแต่หน้าแรกของหนังสือปฐมกาลทีเดียว เช่นเรื่องการเนรมิตสร้างสองเรื่อง (1 : 1 – 2: 4ก และ 2:4 ข – 3:24 ) ลำดับวงศ์วานของกาอิน/เคนัน (4: 17ฯ และ 5: 12-17) เรื่องน้ำวินาศสองเรื่องซึ่งผสมกัน (บทที่ 6-8) เรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษก็มีเรื่องซ้ำกันด้วย เช่นเรื่องเล่าว่าพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัม (บทที่ 15 และ 17) นางฮาการ์ถูกขับไล่ (บทที่ 16 และ 21) เรื่องภรรยาของบรรพบุรุษอยู่ในอันตรายในต่างแดน (สามครั้งใน 12:10-20; 20; 26:1-11 ) เรื่องโยเซฟกับบรรดาพี่น้องในบทสุดท้ายของหนังสือปฐมกาล นอกนั้นยังมีเรื่องพระเจ้าทรงเรียกโมเสสสองครั้ง (อพย 3:1 – 4:17 และ 6:2 – 7:7 ) อัศจรรย์เรื่องน้ำที่เมรีบาห์สองเรื่อง (อพย 17: 1-7 และ กดว 20:1-13 ) มีข้อความสองตอนเกี่ยวกับบทบัญญัติสิบประการ (อพย 20: 1-17 และ ฉธบ 5:6-21) ปฏิทินพิธีกรรมสี่ครั้ง (อพย 23: 14-19; 34:18-23; ลนต 23; ฉธบ 16: 1-16) และยังมีเรื่องซ้ำเช่นนี้อีกหลายเรื่อง เรายังพบข้อความที่ใช้ภาษา ลีลาการเขียนและทรรศนะความคิดใกล้เคียงกันที่สามารถรวมเข้าเป็นเรื่องต่อ เนื่องคล้ายกัน 4 กลุ่มในหนังสือปัญจบรรพ ตรงกับธรรมประเพณีทั้ง 4 สาย

จากเรื่องต่อเนื่องแต่ละกลุ่มนี้ทำให้เราสามารถสรุปและรู้ลักษณะของธรรมประเพณีแต่ละสายได้  ธรรมประเพณียาห์วิสต์ ได้ชื่อนี้เพราะใช้พระนาม “ยาห์เวห์” เรียกพระเจ้าตั้งแต่เล่าเรื่องการเนรมิตสร้างเป็นต้นไป เป็นธรรมประเพณีที่เล่าเรื่องอย่างมีชีวิตชีวาและให้รายละเอียดเป็นรูปธรรม ผู้เขียนมีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องอย่างเห็นจริงเห็นจังน่าสนใจ พยายามให้คำตอบที่ลึกซึ้งต่อปัญหาสำคัญที่มนุษย์มักจะถามตนเอง แม้ผู้เขียนจะกล่าวถึงพระเจ้าโดยใช้ลักษณะของมนุษย์ เขาก็มีจิตสำนึกที่สูงส่งมากเกี่ยวกับพระเจ้า   ธรรมประเพณีนี้สรุปประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งแต่การสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกเป็นเหมือนอารัมภบทของประวัติศาสตร์ของบรรดาบรรพบุรุษของชาวอิสราเอล   ธรรมประเพณีนี้เริ่มมีขึ้นในแคว้นยูดาห์ และส่วนใหญ่คงจะจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรในรัชสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน

ในข้อความที่นักวิชาการคิดว่าเป็นตำนานยาห์วิสต์เราพบว่ามีแนวความคิดคล้ายคลึงกันอีกสายหนึ่งแทรกอยู่ด้วยซึ่งมีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่บางครั้งสะท้อนความคิดที่โบราณกว่าหรือบางครั้งแตกต่างกันด้วย ธรรมประเพณีที่คล้ายคลึงเช่นนี้ได้ชื่อว่า J1 (“ตำนานยาห์วิสต์ดั้งเดิม” ) หรือ L (Lay source หรือ “ ตำนานฆราวาส” ) หรือ N (Nomadic source หรือ “ตำนานชนเร่ร่อน” ) การแยกธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งออกมาเช่นนี้มีเหตุผลสนับสนุนพอสมควร แต่เป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าเคยมีธรรมประเพณีนี้อีกสายหนึ่งต่างหากจริงๆ หรือเป็นเพียงข้อมูลที่ผู้เขียนตำนานยาห์วิสต์ได้เสริมเข้าไปในข้อเขียนของ ตนโดยรักษาเอกลักษณ์ของข้อมูลเหล่านั้นไว้เช่นเดิม

ธรรมประเพณีเอโลฮิสต์ (เพราะใช้สามัญนาม “เอโลฮิม” เรียกพระเจ้า) แตกต่างจากธรรมประเพณียาห์วิสต์ทั้งในวิธีเขียนที่ให้รายละเอียดน้อย ไม่มีสีสันน่าสนใจ มีมาตรฐานทางศีลธรรมที่เข้มงวดมากกว่า และเน้นอย่างมากถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ธรรมประเพณีนี้ไม่เล่าประวัติศาสตร์ของโลกและมนุษยชาติ แต่เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยของอับราฮัมเป็นต้นมา ธรรมประเพณีนี้อาจได้เขียนขึ้นภายหลังธรรมประเพณียาห์วิสต์ไม่นาน นักวิชาการมักจะคิดว่าเป็นธรรมประเพณีของชนเผ่าในอาณาจักรเหนือ (อิสราเอล)  นักวิชาการบางคนไม่ยอมรับว่ามีธรรมประเพณีเอโลฮิสต์แยกจากธรรมประเพณียา ห์วิสต์ และอธิบายว่าข้อความเหล่านี้เป็นเพียงการต่อเติมหรือการเรียบเรียงปรับปรุงธรรมประเพณียาห์วิสต์เท่านั้น    ถึงกระนั้นเรื่องร่างต่างๆ ตั้งแต่อับราฮัมจนถึงมรณกรรมของโมเสสมีถิ่นกำเนิดต่างกัน การเล่าเหตุการณ์ซ้ำกันบ่อยๆ โดยมีรายละเอียดทั้งที่เหมือนและไม่เหมือนชวนให้คิดว่าจะต้องมีธรรมประเพณี อีกสายหนึ่งโดยเฉพาะที่แตกต่างจากธรรมประเพณียาห์วิสต์ ธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งนี้ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม เราต้องระลึกถึงข้อเท็จจริงสำคัญประการหนึ่งไว้เสมอ แม้ว่าธรรมประเพณียาห์วิสต์และเอโลฮิสต์มีลักษณะต่างกัน แต่ก็เล่าเรื่องเดียวกันในสาระสำคัญ ธรรมประเพณีทั้งสองนี้จึงน่าจะมีต้นกำเนิดเดียวกัน บรรดาเผ่าทางใต้และทางเหนือล้วนมีธรรมประเพณีร่วมกันที่มาจากความทรงจำของ ประชากรที่เคยมีประวัติศาสตร์เดียวกัน ได้แก่ การระลึกถึงบรรพบุรุษสามคน อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ ตามลำดับเดียวกัน  ระลึกถึงการอพยพจากประเทศอียิปต์ไปถึงการสำแดงพระองค์ของพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย ระลึกถึงการทำพันธสัญญาที่ภูเขาซีนายจนถึงการเข้ายึดครองตั้งถิ่นฐานทางฝั่ง ตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก่อนการเข้ายึดครองแผ่นดินแห่ง พระสัญญา ธรรมประเพณีร่วมกันนี้เริ่มขึ้นโดยการเล่าปากเปล่า และอาจเขียนไว้บ้างก็ได้ในสมัยผู้วินิจฉัย คือเมื่ออิสราเอลกำลังเริ่มมีความเป็นอยู่เป็นชนชาติหนึ่ง

ธรรมประเพณียาห์วิสต์และเอโลฮิสต์มีข้อความที่เป็นกฎหมายน้อยมาก ยกเว้น “ ประมวลกฎหมายแห่งพันธสัญญา” ซึ่งเราจะกล่าวถึงในภายหลัง แต่ธรรมประเพณีสงฆ์จะมีกฎหมายเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งกำหนดระเบียบการเกี่ยวกับสักการสถาน  การถวายบูชาและวันฉลองทางศาสนา  กล่าวถึงคุณสมบัติและหน้าที่สมณะของอาโรนและบุตรหลาน  นอกจากข้อความเกี่ยวกับกฎหมายและสถาบัน ธรรมประเพณีสงฆ์ยังเล่าเรื่องที่จงใจเขียนขึ้นเพื่ออธิบายปัญหาทางกฎหมายและพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของธรรมประเพณีนี้  นอกจากความสนใจในปัญหาดังกล่าวแล้ว ธรรมประเพณีสงฆ์ยังชอบกล่าวถึงจำนวนเลขและลำดับวงศ์วาน ศัพท์ที่ใช้และวิธีเขียนโดยทั่วไปมักเป็นนามธรรมและใช้คำขยายฟุ่มเฟือย ทำให้เห็นง่ายว่าข้อความใดมาจากธรรมประเพณีนี้ ธรรมประเพณีสงฆ์เป็นธรรมประเพณีของบรรดาสมณะในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม รักษาเรื่องราวโบราณ แต่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเพียงระหว่างการเนรเทศที่บาบิโลนเท่านั้น และไม่ได้รวมเข้ากับธรรมประเพณีอื่นในหนังสือปัญจบรรพจนกระทั่งกลับจากเนรเทศแล้ว  เราสามารถพบว่าธรรมประเพณีนี้ได้รับการเรียบเรียงปรับปรุงหลายครั้ง เป็นการยากที่จะตัดสินว่าธรรมประเพณีสงฆ์นี้เคยเป็นผลงานทางวรรณกรรมชิ้นหนึ่งต่างหาก หรือว่ามีสมณะคนหนึ่งหรือหลายคนที่ได้เสริมข้อมูลจากธรรมประเพณีนี้เข้ากับตำนานยาห์วิสต์/เอโลฮิสต์ที่มีอยู่แล้วทำให้เกิดหนังสือปัญจบรรพดังที่เรามี ในปัจจุบัน นักวิชาการส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างหลังนี้

ในหนังสือปฐมกาล เราสามารถแยกเรื่องราวต่อเนื่องของธรรมประเพณีแต่ละสาย คือตำนานยาห์วิสต์ ตำนานเอโลฮิสต์ และตำนานสงฆ์ได้โดยไม่ยากนัก  ในหนังสือปัญจบรรพอื่นๆ หลังจากหนังสือปฐมกาลเราสามารถแยกตำนานสงฆ์ออกได้ง่ายโดยเฉพาะตอนปลายของหนังสืออพยพ ในหนังสือเลวีนิติทั้งเล่มและในส่วนใหญ่ของหนังสือกันดารวิถี แต่เป็นการยากจะตัดสินว่าข้อความที่เหลือส่วนใดเป็นของตำนานยาห์วิสต์และส่วนใดเป็นของตำนานเอโลฮิสต์   ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเราไม่พบตำนานทั้งสามนี้อีกต่อไป แต่พบธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งคือตำนานเฉลยธรรมบัญญัติ ยกเว้นบทที่ 31-32 ตำนานเฉลยธรรมบัญญัติมีลักษณะเฉพาะของตน ลีลาการเขียนสังเกตได้ง่ายเพราะใช้สำนวนโวหารรุ่มร่ามและเร้าใจคล้ายบทเทศน์ มีสูตรเฉพาะที่ซ้ำบ่อยๆ และย้ำคำสอนเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระเจ้าทรงเลือกชาวอิสราเอลจากนานาชาติในโลกให้เป็นประชากรของพระองค์โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากความรัก แต่การเลือกสรรและพันธสัญญาที่รับรองการเลือกสรรนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าอิสราเอลจะต้องมีความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าแต่พระองค์เดียว ต้องนมัสการพระองค์ในสักการสถานเพียงแห่งเดียวตามกฎเกณฑ์ที่ทรงบัญชาไว้   ตำนานเฉลยธรรมบัญญัติเป็นจุดสุดยอดของธรรมประเพณีที่มีความสัมพันธ์กับธรรม ประเพณีเอโลฮิสต์ และกับขบวนการของบรรดาประกาศก อิทธิพลของธรรมประเพณีเฉลยธรรมบัญญัตินี้เห็นได้แล้วในข้อความค่อนข้างโบราณ  เป็นไปได้ว่าสาระสำคัญของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบันทึกธรรมประเพณีของชาวอิสราเอลในอาณาจักรเหนือและชนเผ่าเลวีนำเข้ามาในอาณาจักรยูดาห์หลังจากกรุง สะมาเรียถูกทำลาย ประมวลกฎหมายเฉลยธรรมบัญญัติซึ่งอาจมีคำปราศรัยของโมเสสเป็นกรอบอยู่แล้วถูก เก็บไว้ในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ต่อมาในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์จะมีผู้ค้นพบ และเมื่อประกาศใช้จะเป็นหลักการในการปฏิรูปทางศาสนาในสมัยนั้น ประมวลกฎหมายฉบับนี้ได้รับการเรียบเรียงขึ้นใหม่ในตอนแรกของการถูกเนรเทศที่ บาบิโลน

หนังสือปัญจบรรพค่อยๆ พัฒนาขึ้นเป็นขั้นตอนจากธรรมประเพณีต่างๆ หลายสายที่กล่าวนี้ แต่เราไม่สามารถกำหนดเวลาแน่นอนของขั้นตอนต่างๆ นี้ได้ ธรรมประเพณียาห์วิสต์และเอโลฮิสต์น่าจะรวมเข้าด้วยกันในอาณาจักรยูดาห์ใน ศตวรรษสุดท้ายของสมัยมีกษัตริย์ปกครอง อาจจะเป็นในรัชสมัยของกษัตริย์เฮเซคียาห์ เพราะเราทราบจาก สภษ 25 : 1 ว่าในเวลานั้นมีการรวบรวมงานวรรณกรรมโบราณต่างๆ ไว้ด้วยกัน ต่อมาก่อนที่ชาวอิสราเอลกลับจากเนรเทศ หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติที่คิดกันว่าเป็นประมวลกฎหมายซึ่งโมเสสประกาศไว้ ณ ที่ราบโมอับ ถูกแทรกเข้าไว้ตอนท้ายหนังสือกันดารวิถีก่อนเรื่องราวเกี่ยวกับการมอบอำนาจ หน้าที่แก่โยชูวาและมรณกรรมของโมเสส (ฉธบ 31 และ 34) ต่อมาไม่นาน บรรดาสมณะอาจเสริมตำนานสงฆ์เข้ามาอีกด้วย หรืออาจได้เรียบเรียงหนังสือปัญจบรรพทั้งหมดเป็นครั้งแรก เราไม่ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไรแน่ แต่เรามั่นใจว่า “ธรรมบัญญัติของโมเสส” ที่เอสรานำกลับมาจากบาบิโลนนั้นคือหนังสือปัญจบรรพทั้งหมดเกือบจะเหมือนกับที่เรามีในปัจจุบัน

ความสัมพันธ์ระหว่างหนังสือปัญจบรรพกับหนังสือพระคัมภีร์ฉบับที่ ตามมาทำให้เกิดสมมติฐานสองทฤษฎีที่ขัดกัน ตั้งแต่นานมาแล้วนักวิชาการมักจะเสนอทฤษฎี “ฉบรรพ” (อ่านว่า“ฉอ-บับ” ) หมายความว่าหนังสือหกเล่มแรก ของพระคัมภีร์ (คือ ปัญจบรรพรวมกับ ยชว และตอนต้นของ วนฉ) มีความต่อเนื่องเป็นชุดเดียวกัน ทั้งนี้เพราะพบว่าตำนานทั้งสามสาย ( J, E และ P ) ยังมีอยู่ต่อไปใน ยชว และตอนต้นของ วนฉ อีกด้วย นอกจากนั้นนักวิชาการเหล่านี้ยังอ้างว่าความคิดเรื่อง “พระสัญญา” ที่พบได้บ่อยๆ ในเรื่องราวของหนังสือปัญจบรรพยังเล่าให้เห็นว่าพระสัญญานั้นเป็นความจริงอย่างไร คือเล่าการเข้ายึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาด้วย   ตามทฤษฎีนี้ หนังสือโยชูวาซึ่งแต่เดิมเป็นเล่มสุดท้ายของ “ฉบรรพ” ถูกแยกออกมาในภายหลัง เป็นหนังสือเล่มแรกของภาคประวัติศาสตร์

แต่ยังมีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งไม่นานมานี้เสนอทฤษฎี “จตุรบรรพ” คือ ปฐก อพย ลนต และ กดว เท่านั้นรวมเป็นหนังสือชุดเดียวกันโดยไม่มี ฉธบ ตามทฤษฎีนี้ ฉธบ ตั้งแต่แรกเริ่มเขียนขึ้นเป็นบทนำของ “ประวัติศาสตร์เฉลยธรรมบัญญัติ” ที่รวมหนังสือต่างๆ จนถึงหนังสือพงศ์กษัตริย์ ต่อมาหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติถูกแยกออกจากหนังสือชุดประวัติศาสตร์นี้ เพราะต้องการจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับบุคลิกและกิจการของโมเสสเข้าไว้ในหนังสือชุดเดียวกัน ซึ่งได้แก่หนังสือปัญจบรรพดังที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

เรามีความเห็นคล้อยตามทฤษฎีที่สองนี้โดยมีข้อแม้บางประการซึ่งเราจะอธิบายใน “ความรู้เกี่ยวกับหนังสือประวัติศาสตร์เฉลยธรรมบัญญัติ” และจะใช้เป็นหลักในการอธิบายเชิงอรรถบางข้อ กระนั้นก็ดี ทฤษฎี “จตุรบรรพ” นี้เป็นเพียงความเห็นที่ต่างกันเช่นเดียวกับทฤษฎี “ฉบรรพ” เท่านั้น

เราจึงไม่สามารถทราบอย่างแน่ชัดเลยว่าหนังสือปัญจบรรพเขียนขึ้นอย่างไร กระบวนการเขียนใช้เวลาอย่างน้อยหกร้อยปี และสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวอิสราเอลทั้งด้านบ้านเมืองและ ด้านศาสนา แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในทิศทางเดียวกัน  เรากล่าวไว้แล้วว่าธรรมประเพณีต่างๆ ที่เป็นเรื่องเล่าเริ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ชาวอิสราเอลมีจิตสำนึกเป็นชนชาติเดียวกัน เราอาจกล่าวเช่นเดียวกันเกี่ยวกับข้อความที่เป็นกฎหมายซึ่งรวมทั้งกฎหมาย บ้านเมืองและศาสนาที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนที่ใช้กฎหมายเหล่านี้ แต่กฎหมายเหล่านี้ได้เริ่มมีมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่เริ่มมีประชาชนนั่นเอง การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกฎหมายเหล่านี้มีพื้นฐานในศาสนาได้แก่ความเชื่อในพระยาห์เวห์ที่ทำให้เผ่าต่างๆ รวมเข้าเป็นชนชาติเดียวกัน และความเชื่อเดียวกันนี้ทำให้ธรรมประเพณีสายต่างๆ รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน

โมเสสเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการก่อตั้งศาสนาที่นับถือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้า โมเสสได้สั่งสอนประชาชนให้เข้ามานับถือศาสนานี้และเป็นคนแรกที่ออกกฎหมายให้ ประชาชนปฏิบัติ ธรรมประเพณีโบราณเกี่ยวกับเขาและเรื่องราวซึ่งระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเป็นผู้นำจึงรวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นตำนานประจำชาติ ศาสนาของโมเสสได้ปั้นความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาไว้เป็นมรดกของชาติ กฎหมายของโมเสสก็เป็นมาตรฐานถาวรของชาติด้วย การปรับปรุงแก้ไขซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามสภาพการณ์ใหม่ๆ จึงดำเนินไปตามความคิดของโมเสสและมีผลบังคับโดยอำนาจของเขา 

ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใดถ้าเราไม่สามารถบอกได้ชัดว่าข้อเขียนตอนใดในหนังสือปัญจบรรพเป็นของโมเสส เพราะเขาเป็นพระเอกของหนังสือปัญจบรรพ และธรรมประเพณีของชาวยิวมีเหตุผลสนับสนุนเต็มที่ที่จะเรียกหนังสือปัญจบรรพว่าเป็นหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส


เรื่องเล่าในหนังสือปัญจบรรพ (หรือเบญจบรรณ) 
มีความจริงทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงไร?

การเรียกร้องให้เรื่องเล่าตามธรรมประเพณีต่างๆ เหล่านี้มีรายละเอียดชัดเจนแน่นอนดังที่นักประวัติศาสตร์สมัยนี้เรียกร้อง นับว่าไม่สมเหตุสมผล ธรรมประเพณีเหล่านี้ไม่ใช่เอกสารที่ตายแล้วแต่เป็นมรดกที่มีชีวิตของชนชาติ ซึ่งมีธรรมประเพณีเหล่านี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตสำนึกในความเป็นหนึ่ง เดียวและส่งเสริมความเชื่อทางศาสนา การปฏิเสธไม่ยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ เพียงเพราะขาดรายละเอียดชัดเจนแน่นอนก็ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน

เราจะต้องแยกพิจารณาสิบเอ็ดบทแรกของหนังสือปฐมกาลต่างหาก บทเหล่านี้ใช้วิธีเล่าแบบชาวบ้านบรรยายถึงต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ใช้วิธีเขียนที่เรียบง่ายให้รายละเอียดเป็นรูปธรรม เหมาะสำหรับคนโบราณที่ไม่มีการศึกษาสูงนัก และประกาศความจริงหลักซึ่งเป็นพื้นฐานของประวัติศาสตร์แห่งความรอด 
ความจริงเหล่านี้คือ พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกอย่างในปฐมกาล พระองค์ทรงมีบทบาทพิเศษในการสร้างมนุษย์ชายหญิง มนุษยชาติมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน มนุษย์คู่แรกทำบาปจึงตกอยู่ในสภาพสูญเสียความโปรดปรานของพระเจ้าและถูกลงโทษ โดยที่ลูกหลานจะต้องรับผลของบาปเป็นมรดก ความจริงทั้งหมดนี้มีความสำคัญทางคำสอนด้านเทววิทยาและมีพระคัมภีร์เป็น เอกสารรับรอง ในเวลาเดียวกันยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วย แม้ว่าเราไม่สามารถทราบและอธิบายลักษณะแท้จริงของเหตุการณ์เหล่านั้น เพราะพระคัมภีร์ใช้ภาษาของตำนานเทพที่เหมาะกับความคิดของคนสมัยโบราณที่เล่า เรื่องถ่ายทอดความจริงเหล่านี้แก่เรา 

ตั้งแต่บทที่ 12 หนังสือปฐมกาลเล่าประวัติศาสตร์ของบรรดาบรรพบุรุษโดยที่เรื่องราวส่วนใหญ่ เป็นประวัติครอบครัว คือเป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านเล่าถ่ายทอดสืบต่อกันมาเกี่ยวกับอับราฮัม อิสอัค ยาโคบและโยเซฟ เรื่องเหล่านี้ยังเป็นประวัติศาสตร์แบบชาวบ้าน ชอบเล่าเรื่องน่าสนใจส่วนตัวของบุคคล ให้รายละเอียดเฉพาะตัวที่น่าจดจำโดยไม่มีความพยายามจะแสดงความสัมพันธ์ที่ เรื่องราวเหล่านี้มีกับประวัติศาสตร์สากลของโลก เรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งอาจเคยเล่ามาก่อนถึงบรรพบุรุษอีกคนหนึ่งแล้ว   และรายละเอียดทางประวัติศาสตร์อื่นๆ อาจเลอะเลือนไปในการถ่ายทอดสืบต่อกันมาทางปากเปล่า  ในที่สุดเรื่องราวเหล่านี้ยังเป็นประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยมีทรรศนะทางศาสนา คือพยายามแสดงว่าเหตุการณ์สำคัญที่เล่าถึงนั้นเกิดขึ้นโดยมีพระเจ้าทรงเข้า แทรกแซง เราสามารถเห็นพระญาณเอื้ออาทรได้ในทุกเหตุการณ์ 

ทรรศนะทางเทววิทยาเช่นนี้มองข้ามบทบาทของสาเหตุระดับรอง คือสาเหตุตามธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นผู้เขียนชอบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ด้วยกันเพื่ออธิบายความ หมายพร้อมกัน เป็นการพิสูจน์แนวคิดทางศาสนาที่ว่ามีพระเจ้าพระองค์เดียว พระองค์ทรงอบรมประชากรหนึ่งเดียว ทรงมอบแผ่นดินหนึ่งเดียวแก่ประชากรนี้  พระเจ้าพระองค์นี้คือพระยาห์เวห์ ประชากรนี้คือชาวอิสราเอลและแผ่นดินนี้คือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ 

ถึงกระนั้นเรื่องเล่าต่างๆ นี้เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ในแง่ที่ว่ากล่าวโดยวิธีของตนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง   บรรยายอย่างน่าเชื่อถือถึงที่มาและการโยกย้ายถิ่นฐานของบรรดาบรรพบุรุษของ ชาวอิสราเอล ถึงภูมิหลังทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ถึงวิธีดำเนินชีวิตทั้งด้านศีลธรรมและทางศาสนา 

ในอดีตเรามักจะสงสัยว่าเรื่องเล่าเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ในสมัยนี้การค้นพบของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีในสถานที่ต่างๆ ของดินแดนทางตะวันออกกลางทำให้ข้อสงสัยดังกล่าวตกไป เหตุการณ์ที่เล่าในหนังสืออพยพและกันดารวิถี และที่มีกล่าวพาดพิงถึงในบทแรกๆ ของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเป็นการเล่าประวัติศาสตร์สมัยหลังบรรดาบรรพบุรุษหลายศตวรรษทีเดียว  เริ่มต้นโดยเล่าการเกิดของโมเสสและจบลงด้วยการตายของเขา เหตุการณ์ที่เล่าไว้คือการอพยพจากประเทศอียิปต์ การหยุดพักที่ภูเขาซีนาย การเดินทางในถิ่นทุรกันดารถึงคาเดช การเดินทางผ่านฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนและเข้าพำนัก ณ ที่ราบโมอับ 

ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริง และไม่ยอมรับว่าโมเสสมีตัวตนจริงดังที่พระคัมภีร์บอก เราจะไม่สามารถอธิบายประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งไม่สามารถอธิบายความยึดมั่นของชาวอิสราเอลต่อศาสนาของพระยาห์เวห์และต่อธรรมบัญญัติได้  ในเวลาเดียวกันเราต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่บันทึกไว้นี้มีความสำคัญมากต่อชีวิตของประชากรอิสราเอลและมีบทบาทในศาสนพิธีจนทำให้เรื่องเล่าเหล่านี้มีลักษณะเป็นตำนานประจำชาติ (เช่นเรื่องการข้ามทะเลต้นกก) และบางครั้งเป็นพิธีกรรมประจำปี (เช่นการฉลองปัสกา) เราไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับโมเสสนอกจากพระคัมภีร์ แต่เมื่ออิสราเอลเป็นประชากรชาติหนึ่งแล้วก็เข้าสู่ประวัติศาสตร์โลก  แม้ว่าเราไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้นอกจากการกล่าวพาดพิงไม่ชัดเจนในศิลาจารึกของพระเจ้าฟาโรห์ เมร์เนปทาห์  แต่สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงชาวอิสราเอลก็สอดคล้องอย่างกว้างขวางกับข้อเขียนและข้อมูลทางโบราณคดีซึ่งกล่าวถึงชาวเซมีติคกลุ่มต่างๆ เข้ารุกรานประเทศอียิปต์  กล่าวถึงระบบปกครองของชาวอียิปต์ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ และสถานการณ์ทางการเมืองในบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 

หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่คือทดสอบข้อมูลจากพระคัมภีร์เหล่านี้กับ ข้อเท็จจริงที่เราทราบจากประวัติศาสตร์สากล แม้เราจะมีข้อมูลน้อยมากทั้งจากพระคัมภีร์และจากหลักฐานอื่นๆ ว่าเหตุการณ์ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็พอจะกล่าวได้ว่าอับราฮัมมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินคานาอันราวปี 1850 ก่อนคริสตกาล โยเซฟมีตำแหน่งสูงในประเทศอียิปต์ราวปี 1700 ก่อนคริสตกาล และ “ บุตรอื่นๆ ของยาโคบ” อพยพลงไปสมทบกับเขาที่นั่นไม่นานหลังจากนั้น ในปัจจุบันนี้นักวิชาการดูเหมือนจะมีข้อมูลแน่นอนว่าไม่ใช่ชาวฮีบรูทุกเผ่า ได้อพยพไปอยู่ในประเทศอียิปต์ (ดู “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหนังสือโยชูวา” ) 

เราไม่อาจใช้ข้อมูลจาก 1 พกษ 6 : 1 และ วนฉ 11: 26 เพื่อกำหนดเวลาของการอพยพจากประเทศอียิปต์ได้ เพราะข้อมูลเหล่านี้เขียนขึ้นในภายหลังและเป็นเพียงการคาดคะเนโดยใช้ตัวเลข เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น   แต่พระคัมภีร์ก็มีข้อมูลสำคัญข้อหนึ่ง ตามข้อความโบราณใน อพย 1: 11 ชาวฮีบรูถูกเกณฑ์ให้ทำงานก่อสร้างเมืองเก็บเสบียงที่ปิโธมและราเมเสส ดังนั้น การอพยพน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ พระเจ้าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงครองราชย์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งเมืองราเมเสสนี้ตามพระนามของพระองค์ การก่อสร้างขนาดใหญ่เริ่มต้นที่นั่นตอนต้นรัชกาลของพระองค์ ดังนั้นกลุ่มชาวฮีบรูที่มีโมเสสเป็นผู้นำออกจากประเทศอียิปต์น่าจะอพยพออกมาตอนต้นหรือกลางรัชกาลอันยาวนี้ (1290-1224) คือราวปี 1250 ก่อนคริสตกาล หรือก่อนนั้นไม่นาน ผู้อพยพครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงชาวฮีบรูกลุ่มหนึ่งในหลายกลุ่มซึ่งเดินทางจากประเทศอียิปต์เข้าไปในแผ่นดินคานาอันในช่วงเวลานั้น และต่อมาได้รวมตัวกันเป็น “ สิบสองเผ่า” ของอิสราเอล พระคัมภีร์เล่าว่าชาวอิสราเอล เดินทางในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วอายุคน การตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนจึงน่าจะเกิดขึ้นราวปี 1225 ก่อนคริสตกาล 

การกำหนดเวลาเช่นนี้สอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์สากล เช่น กษัตริย์ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 19 ทรงสถาปนาราชธานีอยู่ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ อำนาจปกครองของชาวอียิปต์เหนือ แคว้นซีเรียและปาเลสไตน์อ่อนกำลังลงตอนปลายรัชสมัยพระเจ้าฟาโรห์รามเสสที่ 2 และสถานการณ์ทางการเมืองทั่วบริเวณตะวันออกกลางตอนปลายศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาลมีแต่ความวุ่นวาย การกำหนดเวลาเช่นนี้ยังสอดคล้องกับข้อมูลทางโบราณคดีเกี่ยวกับยุคเหล็กตอนต้น ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ชาวอิสราเอลเข้าตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินคานาอันอีกด้วย


ความหมายทางศาสนาของหนังสือปัญจบรรพ

ศาสนาของพันธสัญญาเดิม เช่นเดียวกับศาสนาของพันธสัญญาใหม่เป็นศาสนาที่มีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ กล่าวคือเป็นศาสนาที่ขึ้นอยู่กับการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์และแผนการ ของพระองค์แก่ปัจเจกบุคคลบางคนในเวลาและสภาพแวดล้อมที่เจาะจง พระองค์ทรงเข้าแทรกแซงในช่วงเวลาที่เจาะจงของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ หนังสือปัญจบรรพเล่าเรื่องความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลก เป็นเหมือนศิลารากฐานของศาสนายิว หนังสือเล่มนี้จึงนับว่าเป็น “ ธรรมบัญญัติ” หรือหนังสือบรรทัดฐานของศาสนายูดายในภายหลัง

ในหนังสือปัญจบรรพชาวอิสราเอลพบความหมายของชะตากรรมของตน ในบทแรกๆ ของหนังสือปฐมกาลเขาไม่พบเพียงคำตอบปัญหาต่างๆ ที่มนุษย์ทุกคนถามตนเองเกี่ยวกับความหมายของโลกและของชีวิต ปัญหาเรื่องความทุกข์และความตายเท่านั้น แต่ยังพบคำตอบสำหรับปัญหาเฉพาะของตนในฐานะที่เป็นชาวอิสราเอลว่าทำไมพระ ยาห์เวห์ซึ่งทรงเป็นพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวจึงทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล ทำไมในบรรดาชนชาติทั้งหลายในโลก อิสราเอลเท่านั้นจะต้องเป็นประชากรของพระองค์ และคำตอบก็คือเพราะอิสราเอลได้รับพระสัญญาจากพระเจ้า

หนังสือปัญจบรรพเป็นหนังสือว่าด้วยพระสัญญา คือพระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อาดัมและ เอวาหลังจากที่ทั้งสองตกในบาปแล้ว (นับเป็น “ ข่าวดีชิ้นแรก” เรื่องความรอดพ้นที่จะมาถึงในอนาคต หรือ “Proto-evangelium” ) พระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่โนอาห์หลังน้ำวินาศว่าพระองค์จะทรงจัดระเบียบ ใหม่ของโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัม พระองค์ทรงรื้อฟื้นพระสัญญานี้แก่อิสอัค ยาโคบและบรรดาลูกหลานทั้งปวง พระสัญญานี้กล่าวว่าชาวอิสราเอลจะเป็นเจ้าของแผ่นดินที่บรรดาบรรพบุรุษเคย อาศัยอยู่ คือแผ่นดินแห่งพระสัญญา แต่ยังมีความหมายมากกว่านี้คือทรงสัญญาว่าจะมีความสัมพันธ์พิเศษโดยเฉพาะ ระหว่างชาวอิสราเอลกับพระเจ้าของบรรดาบรรพบุรุษ

พระยาห์เวห์ทรงเรียกอับราฮัม และการเรียกนี้เป็นเครื่องหมายล่วงหน้าว่าพระองค์จะทรงเลือกอิสราเอลในภาย หลังตั้งแต่ทรงเนรมิตสร้างโลกแล้วพระยาห์เวห์ทรงมีแผนการแสดงความรักของ พระองค์ต่อมนุษย์และแผนการนี้ดำเนินต่อไปแม้มนุษย์จะไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ พระองค์ทรงเลือกอย่างอิสระ ให้ลูกหลานของอับราฮัมเป็นชนชาติหนึ่ง และทรงทำให้ชนชาตินี้เป็นชนชาติของพระองค์

การที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและทรงสัญญาเช่นนี้ได้รับการรับรองด้วย พันธสัญญา หนังสือ ปัญจบรรพเป็นหนังสือว่าด้วยพระสัญญา ในเวลาเดียวกันยังเป็นหนังสือว่าด้วยพันธสัญญาเช่นกัน พระองค์ทรงทำพันธสัญญาเป็นนัยๆ แล้วกับอาดัม ทรงทำพันธสัญญาอย่างชัดเจนกับโนอาห์ กับอับราฮัม และในที่สุดกับชนชาติอิสราเอลทั้งหมดโดยมีโมเสสเป็นคนกลาง พันธสัญญานี้ไม่ใช่ข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาเท่าเทียมกัน เพราะพระเจ้าไม่ทรงมีความจำเป็นต้องทำข้อตกลงกับผู้ใด พันธสัญญาจึงเกิดจากการริเริ่มของพระองค์เท่านั้น ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงเข้าร่วมพันธสัญญาโดยทรงผูกมัดพระองค์ที่จะปฏิบัติ ตามพระสัญญาที่ทรงให้ไว้ แต่พระองค์ก็ทรงเรียกร้องความซื่อสัตย์จากประชากรของพระองค์เป็นการตอบแทน สำหรับอิสราเอลบาปคือการปฏิเสธไม่ยอมซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เป็นการละเมิดความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นด้วยความรักบริสุทธิ์ของ พระองค์

เราจะต้องแยกพิจารณาสิบเอ็ดบทแรกของหนังสือปฐมกาลต่างหาก บทเหล่านี้ใช้วิธีเล่าแบบชาวบ้านบรรยายถึงต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ใช้วิธีเขียนที่เรียบง่ายให้รายละเอียดเป็นรูปธรรม เหมาะสำหรับคนโบราณที่ไม่มีการศึกษาสูงนัก และประกาศความจริงหลักซึ่งเป็นพื้นฐานของประวัติศาสตร์แห่งความรอด 
ความจริงเหล่านี้คือ พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกอย่างในปฐมกาล พระองค์ทรงมีบทบาทพิเศษในการสร้างมนุษย์ชายหญิง มนุษยชาติมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน มนุษย์คู่แรกทำบาปจึงตกอยู่ในสภาพสูญเสียความโปรดปรานของพระเจ้าและถูกลงโทษ โดยที่ลูกหลานจะต้องรับผลของบาปเป็นมรดก ความจริงทั้งหมดนี้มีความสำคัญทางคำสอนด้านเทววิทยาและมีพระคัมภีร์เป็น เอกสารรับรอง ในเวลาเดียวกันยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วย แม้ว่าเราไม่สามารถทราบและอธิบายลักษณะแท้จริงของเหตุการณ์เหล่านั้น เพราะพระคัมภีร์ใช้ภาษาของตำนานเทพที่เหมาะกับความคิดของคนสมัยโบราณที่เล่า เรื่องถ่ายทอดความจริงเหล่านี้แก่เรา

พระเจ้าทรงออกกฎหมายสำหรับชนชาติที่ทรงเลือกสรรเป็นการกำหนด เงื่อนไขให้ชาวอิสราเอลแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ธรรมบัญญัตินี้ของพระองค์สั่งสอนประชากรให้รู้จักหน้าที่ของตน ให้รู้จักประพฤติตนตามพระประสงค์และการปฏิบัติตามพันธสัญญานี้จะทำให้พระสัญญาเป็นความจริงสำหรับเขา   พระสัญญา การเลือกสรร พันธสัญญา ธรรมบัญญัติทั้งหมดนี้เป็นความคิดหลักของหนังสือปัญจบรรพเปรียบได้กับดิ้นทองที่ทอขึ้นเป็นผืนผ้าประเสริฐ เป็นความคิดหลักที่เราพบได้อีกในหนังสืออื่นของพันธสัญญาเดิม เพราะหนังสือปัญจบรรพไม่จบบริบูรณ์ในตัวเอง กล่าวถึงพระสัญญาแต่ยังไม่แสดงว่าพระสัญญานี้เป็นความจริงได้อย่างไร เพราะเรื่องราวจบลงก่อนจะเล่าว่าชาวอิสราเอลเข้ายึดครองแผ่นดินแห่งพันธ สัญญา หนังสือปัญจบรรพเล่าเรื่องไม่จบเพราะต้องการปลุกทั้งความหวังและความมุ่ง มั่น ต้องการปลุกความหวังในพระสัญญาซึ่งการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันจะทำให้เป็น ความจริง (ยชว 23) แต่บาปของประชากรจะเป็นอุปสรรคมิให้บรรลุถึงจุดหมายนี้ และการเนรเทศที่บาบิโลนจะทำให้ชาวอิสราเอลระลึกถึงพระสัญญานี้อีกครั้งหนึ่ง หนังสือปัญจบรรพยังปลุกความมุ่งมั่นเพราะชาวอิสราเอลทุกสมัยจะต้องปฏิบัติ ตามธรรมบัญญัติอย่างถี่ถ้วน และธรรมบัญญัตินี้จะเป็นพยานปรักปรำเขาอยู่เสมอ (ฉธบ 31 : 26)

ธรรมบัญญัติมีบทบาทเช่นนี้ตลอดมาจนถึงการเสด็จมาของพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายของประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น ทำให้ความจริงต่างๆ ชัดเจนขึ้น นักบุญเปาโลอธิบายบทบาทนี้ของพระคริสตเจ้าโดยเฉพาะใน กท 3 : 15-29 ว่าพระองค์ทรงทำพันธสัญญาใหม่ตามที่พันธสัญญาเดิมเป็นรูปแบบล่วงหน้าไว้ บัดนี้พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับบรรดาคริสตชนซึ่งเป็นทายาทของอับราฮัมอาศัย ความเชื่อ บทบาทของธรรมบัญญัติคือการปกป้องพระสัญญา เหมือนกับครูพี่เลี้ยงหรือแม่นมที่นำประชากรของพระเจ้ามาพบพระคริสตเจ้า เพราะพระสัญญาเป็นความจริงแล้วในพระคริสตเจ้านี้เอง

คริสตชนไม่เป็นเด็กที่ต้องมีธรรมบัญญัติเป็นครูพี่เลี้ยงอีกแล้ว เขาเป็นอิสระไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติแต่ยังต้องปฏิบัติตาม คำสอนทางศาสนาและศีลธรรมที่พระเจ้าทรงเผยให้ทราบในธรรมบัญญัติ เพราะพระคริสตเจ้ามิได้เสด็จมาเพื่อล้มล้างธรรมบัญญัติ แต่ทรงมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ (มธ 5 : 17) พันธสัญญาใหม่ไม่ลบล้างพันธสัญญาเดิมแต่ขยายให้กว้างขึ้น พระศาสนจักรไม่เพียงจะยอมรับว่าเหตุการณ์ในพันธสัญญาใหม่ (การถวายบูชาของพระคริสตเจ้า ศีลล้างบาป การสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า) มีรูปแบบล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของบรรพบุรุษและ โมเสส รวมทั้งในการฉลองและศาสนพิธีในระหว่างการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร (การถวายบูชาอิสอัค การข้ามทะเลต้นกก ปัสกา) เท่านั้น แต่คริสตศาสนายังเรียกร้องคริสตชนให้มีท่าทีเดียวกันกับที่กำหนดไว้สำหรับ ชาวอิสราเอลในเรื่องราวและกฎหมายของหนังสือปัญจบรรพอีกด้วย

นอกจากนั้น มนุษย์แต่ละคนที่กำลังเดินทางไปพบพระเจ้าจะต้องผ่านขั้นตอนเดียวกันกับที่ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ผ่านมาแล้ว คือต้องตัดใจละทิ้งทุกอย่าง ต้องกล้าเผชิญความทุกข์ยากซึ่งเป็นการทดลอง และต้องชำระตนให้เหมาะสมที่จะพบพระองค์ ดังนั้นคริสตชนจึงสามารถรับคำสั่งสอนจากประสบการณ์ต่างๆ ของชาวอิสราเอลด้วย


เราควรอ่านหนังสือปัญจบรรพอย่างไร

เราควรอ่านหนังสือปฐมกาล อพยพ และกันดารวิถีต่อเนื่องกันตามลำดับเหตุการณ์ที่เล่า  หนังสือปฐมกาลแสดงให้เราเห็นพระทัยดีของพระเจ้าพระผู้สร้าง ตรงข้ามกับความอกตัญญูของมนุษยชาติที่ทำบาป เรื่องราวของบรรดาบรรพบุรุษแสดงว่าพระเจ้าประทานรางวัลแก่ผู้ที่มีความเชื่อ 

หนังสืออพยพเป็นรูปแบบล่วงหน้าของการไถ่กู้ของเราทุกคน หนังสือกันดารวิถีกล่าวถึงช่วงเวลาความทุกข์ยากซึ่งเป็นการทดลอง พระเจ้าทรงสั่งสอนและลงโทษบรรดาบุตรของพระองค์ที่ทำผิด  

จะเป็นประโยชน์มากถ้าจะอ่านหนังสือเลวีนิติพร้อมกับบทท้ายๆ ของหนังสือประกาศกเอเสเคียล หรือหลังจากหนังสือเอสราและเนหะมีย์  แม้ว่าการถวายบูชาเพียงครั้งเดียวของพระคริสตเจ้าลบล้างพิธีกรรมทั้งหลายในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว หนังสือเลวีนิติก็ยังเน้นว่าผู้นมัสการรับใช้พระเจ้าจะต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ปราศจากมลทิน  ข้อเรียกร้องนี้เป็นบทสอนสำหรับมนุษย์ทุกสมัย   

จะเป็นประโยชน์มากเช่นเดียวกันถ้าจะอ่านหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติพร้อมกับหนังสือประกาศกเยเรมีย์ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์และมีจิตตารมณ์ใกล้เคียงกับหนังสือนี้



**********
ขอขอบคุณที่มา:

1 ความคิดเห็น: