ศาสนวิทยา
โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการศาสนวิทยา Religiology
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
ซ้าย-ขวา ขวา-ซ้าย คืออะไรแน่?
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567
ทำไมไทยถึงมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้เร็วกว่าประเทศอื่น? ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2567
เศรษฐกิจแบบพอ
สาเหตุก็คือ นักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งหลายคน ที่จบมหาลัยไอวีลีกกันทั้งนั้น เริ่มตระหนักว่า อ้ายเจ้าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีหรือตลาดเสรีแบบที่โลกใช้ขับเคลื่อนตัวเองมานานนั้น มันเริ่มไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่เคยเชื่อกันมาตลอดอีกแล้ว
เพราะยิ่งนานวันมันยิ่งสร้างปัญหาที่นำไปสู่วิกฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ โดนเฉพาะปัญหาหนี้สิน ปัญหาความยากจนและเหลื่อมล้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อม
จากช่วงต้นปีสองพันที่แนวคิดนี้เริ่มดัง จนมาถึงตอนถึงตอนนี้สองพันยี่สิบกว่า คงไม่น่าจะมีใครถามอีกแล้วว่าปัญหาพวกนี้เกิดจริงไหม เพราะมันได้กลายเป็นวิกฤตใหญ่โตของทั่วโลก จนแม้แต่สหรัฐฯเองซึ่งเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีกลายเแ็นประเทศที่มีหนี้ล้นพ้นตัว หนี้มากที่สุดในโลก
นี่ถ้าตลาดไม่ใหญ่ ไม่ได้พิมพ์แบงค์เอง ไม่ได้เป็นมหาอำนาจ ก็อาจล้มละลายไปแล้ว ค่าเงินดอลลาร์ทุกวันนี้อาจไม่เหลือค่า
หนังสือแนว "เศรษฐกิจพอ" ที่ว่านี้จะพูดคล้าย ๆ กันหลักใหญ่ ๆ คือ ต้องมีเหตุผล รอบคอบ ไม่เกินตัว ยั่งยืน หรือดีในระยะยาว
ถ้าพูดแบบภาคปฏิบัติก็คือ ต้องเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องคอยพึ่งใตรหรือเป็นภาระของใคร ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ำม่ต้องกลัวใครกลั่นแกล้ง
สอง ไม่บริโภคมากเกินไปจนเอาเงินในอนาคตมาใช้ หรือไม่บริโภคจนเป็นหนี้นั่นแล ถ้าเป็นหนี้ก็ให้มันเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ
สาม เป็นเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเรื่องการสร้างภาวะโลกร้อน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เรื่องน้ำ เรื่องมลพิษ ฯลฯ แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สี่ เป็นเศรษฐกิจที่แบ่งปัน ไม่ใช่คนรวยก็กินรวบ จนรวยล้นไม่รู้จบ ส่วนคนจนก็อับจนไม่มีทางสู้ หรือถึงกับไม่มีปัจจัยสี่
สุดท้าย เจ้าเศรษฐกิจพอแบบที่ว่าต้องนำไปสู่ความยั่งยืนของสังคม ซึ่งก็เลยทำให้เกิดคำใหม่ว่า sustainable economy หรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
"เศรษฐกิจพอ" แบบที่ว่ามันไม่ได้หมายถึง ทุกคนต้องไปปลูกผักเลี้ยงไก่ไว้กินเองไม่ต้องซื้ออะไรอีกต่อไป แต่มันหมายถึงระบบเศรษฐกิจที่ทำให้มีสิ่งจำเป็นเพียงพอสำหรับตัวเราแต่ละคน เพียงพอสำหรับทุกคนในสังคมและในโลก เพียงพอสำหรับทุกคนในปัจจุบันและอนาคต
เศรษฐกิจแบบปลูกผักเลี้ยงไก่กินเอง ไม่ต้องซื้ออะไรใครเลย มันมีอีกชื่อนึง เรียกว่า self-sufficiency economy หรือ "เศรษฐกิจพอในตัวเอง" อันนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งของระบบเศรษฐกิจพอเช่นกัน แต่ใครจะไม่ทำแบบนี้ก็ได้
ระบบแบบนี้ถ้าเอาจริงมากก็จะไปถึงขั้นไม่ต้องใช้ไฟฟ้าน้ำประปาจากทางการเลย ทำเอาเองหมดทั้งไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ทำน้ำกรองเอง เรียกว่า "off-grid self-sufficiency economy" คือ เศรษฐกิจพอในตัวเองแบบ "นอกระบบ" ไปเลย
แต่จากที่ศึกษามา ถ้าพูดแบบยุติธรรม ก็ต้องบอกว่า กษัตริย์รัชกาลที่เก้าของไทย พูดเรื่องนี้ไว้ตอนราวช่วงปี 1997 และไม่ใช่แค่พูดเป็นหลักนามธรรมลอยๆ แต่พยายามเอาหลักการนามธรรมพวกนี้มาทำให้เป็นรูปธรรม คือหวังให้สามารถปฏิบัติได้จริและได้ผลจริง และปฏิบัติได้ไม่แค่บางบุคคล แต่เป็นระดับมวลชนและมหาชน ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมักจะพูดเป็นหลักการนามธรรมมากกว่า เรื่องนี้ยังพูดได้อีกยาว
ประเด็นที่คนถามกันมากก็คือ "เศรษฐกิจพอ" มันดีกว่าระบบอื่นไหม ระบบไหนดีที่สุด? ก็ต้องบอกว่า
ระบบที่มีอยู่ก็คือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีหรือระบบตลาด แบบที่ใช้มานั่นแล ระบบต่อมาก็แบบคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่มีใครใช้จริงในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่ก็คือระบบผสมผสานกันทั้งนั้น ระบบที่ให้รัฐควบคุมมากหน่อย มีสวัสดิการรัฐใากหน่อยก็ระบบสังคมนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบพอ มันเป็นระบบที่อยู่มาก่อนใคร อยู่มาแต่โบราณ แทรกอยู่กับระบบไหนก็ได้ มันอยู่ได้มาตลอด และจะอยู่ตลอดไป
ਗ਼মᒏర౬ ഽరๅݎ᪒নਭலᣅᢅᡇ
ศาสนวิทยา ผู้ลี้ภัย ณ นิวซีแลนด์
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2566
เป็นผู้ลี้ภัยที่นิวซีแลนด์ได้อย่างไร
หลายท่านติดต่อมาขอให้แนะนำวิธีเป็นผู้ลี้ภัย ก็ขอเรียนว่าตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแค่ได้เป็นผู้ลี้ภัยมาโดยไม่ได้มีหมายจับคดี ม.112 , 116 หรือคดีใด ๆ ทั้งสิ้น และก็ไม่ได้มีทุนอะไร รวมถึงไม่ได้มีใครช่วยดำเนินการให้
ก็เลยต้องพยายามเรียนรู้เอง ทำเอาเอง ลองผิดลองถูกเองทั้งหมด ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ว่าจ้างทนายช่วย แต่ได้ทนายฟรีที่รัฐบาลเขาจัดให้ เป็นทีมทนายฝรั่งกับอินเดีย ซึ่งเขาก็ช่วยแค่ยื่นเอกสารที่เราทำกับทางราชการให้ เขาไม่ได้ช่วยพูดว่าความให้ด้วยซ้ำ เขาว่าเราพูดแถลงคดีเอง ตอบคำถามเองจะดูน่าเชื่อถือกว่า เราก็เลยต้องพูดไปเองทั้งหมด สเนกๆ ฟิช ๆ ไป ตอบคำถามมากมายตั้งแต่เช้าจรดเย็น
จนกระทั่งหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลนิวซีแลนด์ให้เป็นผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการแล้วนั้น ทนายยังบอกว่าขอบคุณที่ทำงานหนักแทนพวกเรา และยังสอนให้เรารู้ว่ามันทำแบบนี้ก็ได้ด้วย
ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เดาว่าวิธีแบบที่ผู้เขียนทำมาน่าจะยากกว่ากรณีปกติ ไม่กล้าแนะนำใคร เกรงว่าผลมันจะไม่แน่นอน และผลร้ายอาจมากกว่าดี
ลองปรึกษาถามคนอื่นที่เขาเก่ง ๆ ดีไหมครับ?
ਗ਼মᒏర౬ ഽరๅݎ᪒নਭலᣅᢅᡇ
ศาสนวิทยา ณ นิวซีแลนด์
วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
คำขออภัยจากผู้ลี้ภัย(คนหนึ่ง)
ขอกล่าวสวัสดีกับกัลยาณมิตรทุกท่านที่เคยสื่อสารกันแล้วหยุดไปหลายปี ขอกลับมาสื่อสารอีกครั้ง และเนื่องจากไม่ได้เขียนภาษาไทยยาว ๆ นานหลายปี หากภาษาผิดพลาดก็ต้องขออภัย และจะพยายามเขียนให้สั้นที่สุด
ที่บอกว่าเป็น “คำขออภัยจากผู้ลี้ภัย (คนหนึ่ง)” ก็เพราะมีสองสามเรื่องที่อยากส่งข่าว
เรื่องแรก
คือ อยากส่งข่าวให้มิตรสหายทราบว่า บัดนี้ตัวผู้เขียนเองได้ถูกรับเป็น “ผู้ลี้ภัย” อย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลนิวซีแลนด์แล้ว ที่จริงก็ได้รับสถานะมานานพอสมควรแล้ว กระบวนการนับว่าช้าหน่อยเนื่องจากสถานการณ์ตอนที่มาประเทศกำลังมีปัญหามากเรื่องระบบและโรคระบาดโควิด
ในโอกาสนี้ก็ต้องขอถือโอกาสขอบคุณหลายบุคคล ในฝ่ายคนไทยต้องขอขอบคุณครอบครัว, คุณแม่, ดร.วิทยา เชาว์เจริญรัตน์ น้องชาย, ตลอดจนลูกศิษย์หลายคนที่เป็นเหมือนครอบครัว, ด้านคนไทยในต่างประเทศขอขอบคุณอาจารย์จรัญ ดิษฐาภิชัย ผู้ลี้ภัยที่ฝรั่งเศส, คุณพี่นา ที่ฝรั่งเศส, คุณอั้มเนโกะและวงไฟเย็น ที่ฝรั่งเศส, คุณน๊อต ผู้ลี้ภัยที่เยอรมัน รวมถึงขอบคุณมิตรสหายหลายท่านที่เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ เยอรมัน ลัทเวีย อังกฤษ, ขอบคุณคุณจรรยา ยิ้มประเสริฐ ผู้ลี้ภัยที่ฟินแลนด์, ขอบคุณคุณจอม เพชรประดับ ผู้ลี้ภัยที่สหรัฐ ฯลฯ
ส่วนที่นิวซีแลนด์ ต้องขอขอบคุณ อดีตนายก จาซินดา อาร์เดิน, สส.บางท่านในพรรครัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเลเบอร์, ท่านอัครสังฆราชแห่งศาสนจักรแองกลิกัน สังฆมลฑลประเทศนิวซีแลนด์ และท่านบิชอปแห่งสังฆมลฑลเขตเวลลิงตัน-วังกานุย, ประธานสหภาพแรงงานแห่งโอ๊คแลนด์, บรรณาธิการสำนักข่าวนิวซีแลนด์เฮรัลด์, ผู้กำกับแห่งสำนักงานตำรวจเขตมานาวาตู-วังกานุย, กลุ่มนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งนิวซีแลนด์, ซีอีโอองค์กรกู้ภัยอาหารแห่งนิวซีแลนด์, ซีอีโอสถานีวิทยุคลาสสิคัลมานาวาตู ฯลฯ
…
เรื่องที่สอง
ที่บอกว่าเป็น “คำขออภัย” ก็คือ มีที่อยากขออภัยที่ติดค้างอยู่ในใจนานแล้ว เรื่องที่ผู้เขียนสื่อข่าวผิดพลาด ซึ่งความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการถูกหลอกอย่างเป็นกระบวนการ โดยฝ่ายตรงข้าม
ต้องเล่าย้อนความก่อนว่า ผู้เขียนสมัยก่อนก็เหมือนกับคนอีกไม่น้อยที่ไม่พอใจกับสถาบันกษัตริย์ของไทย และก็เริ่มสื่อสารข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และเนื่องจากในบทบาทของนักศาสนวิทยาที่พอจะเป็นที่รู้จักพอสมควร ก็เลยทำให้เป็นที่สนใจของสังคม และข้อมูลข่าวสารจากคนวงในก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ซึ่งต้องสารภาพว่า ข่าวสารจาก “วงใน” ที่ไหลเข้ามานั้น ส่วนใหญ่ผู้เขียนก็ไม่ได้ตรวจสอบละเอียด หรือบางอันก็ไม่ได้ตรวจสอบ จะว่าไปก็เพราะส่วนใหญ่มันตรวจสอบไม่ได้ มันเป็นความลับของ “ข้างใน” ไม่มีใครยอมเปิดเผย และไม่มีใครมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบ
ผลก็คือ ผู้เขียนก็นำเสนอไปเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าข่าวสารมันสอดคล้องกับข่าวลือที่คนอื่นเขาก็ลือ ๆ กันอยู่ในโซเชียลอยู่แล้ว เราก็ยิ่งนำเสนอต่อโดยไม่ต้องกังวลอะไร ไล่มาตั้งแต่เรื่องเรื่องการหมอบกราบที่ทำสถาบันให้เป็นเหมือนสมมติเทพ คุกในวัง การลงโทษคนอย่างโหดเหี้ยมจนเสียชีวิตอย่างลับๆ โครงการอภิมหาคอมเพล็กซ์ในเขตพระราชวัง อุโมงค์ใต้ดินในวัง การจัดตั้งระบบทหารระดับสูงให้เป็นทหารคอแดงที่ขึ้นตรงวัง การจัดการโอนหน่วยทหารบางกองพลในกรุงเทพให้กลายเป็นกองพลส่วนตัว การใช้ชีวิตหรูหราในวังส่วนตัวที่ต่างประเทศซึ่งใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน พฤติการณ์หลายภรรยาและมากสนมในวังและกองทหารส่วนตัวที่ใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน ความบกพร่องเรื่องการประสาทปริญญาบัตร การปิดถนนเพื่ออำนวยความสดวก เรื่องหมุดคณะราษฎร์ ฯลฯ ผู้เขียนก็สื่อสารเรื่องพวกนี้มาเรื่อย ๆ จนมาเข้มข้นขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อมีเรื่องคุณก้อย ซึ่งก็มีแง่มุมต่าง ๆ นา ๆ พัฒนาการมาจนกระทั่งคุณก้อยติดคุก
แล้วก็มามีข่าวว่าคุณก้อย “เสียชีวิตในคุก”
ตรงนี้เองที่ผู้เขียนถูกหลอก ซึ่งคนที่หลอกได้ใช้เวลาพอสมควร ค่อย ๆ หลอกล่อผู้เขียนอยู่เป็นเวลาหนึ่งว่าเธอเป็น “คนใกล้ชิดมาก” คนหนึ่งของท่าน และอาสาเป็นสายข่าวคอยให้ข้อมูลภายใน และข้อมูลที่ให้มาหลายอย่างลึกน่าตื่นเต้น และดูน่าเชื่อ (ซึ่งต้องสารภาพว่าใจเราเองก็อยากเชื่อด้วย) จนพอถึงช่วงที่คุณก้อยติดคุกจริงอยู่ราวหนึ่งปีแล้ว (ซึ่งเรื่องที่คุณก้อยติดคุกเกือบสองปี เป็นเรื่องจริงที่ผู้ให้ข่าวหลายคนของผู้เขียนให้ตรงกัน ซึ่งเรื่องจริงและเรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับถูกปิดเงียบ ไม่มีข่าวรายงานในสื่อใดทั้งสิ้น) สายข่าววงในคนนี้จู่ๆ เธอก็บอกว่า ตอนนี้คุณก้อยเสียชีวิตในคุกด้วยเหตุตรอมใจ และได้นำศพไปทำพิธีฌาปนกิจอย่างเงียบ ๆ ที่จังหวัดบ้านเกิดเรียบร้อยแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกตกใจ ไม่อยากเชื่อ เรื่องมันใหญ่โตและซับซ้อนจนไม่อยากเชื่อ ก็พยายามเช็คข้อมูลจากสายข่าววงในคนอื่น แต่ได้รับคำตอบมาว่า ตรวจสอบไม่ได้ บอกว่าตรวจสอบในเรือนจำไม่ได้ และเป็นบุคคลพิเศษด้วย ตอนนั้นผู้เขียนก็ขอคำยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากเธอคนนี้ เธอก็ทำให้ เซ็นต์รับรองให้ว่าเป็นความจริง
ผู้เขียนก็นำเสนอไป โดยบอกว่า ตนเองได้ข่าวมาแบบนี้ ตนเองไม่อยากเชื่อ แต่คนบอกข่าวยืนยัน แต่ผู้เขียนขอให้ทางการแถลงข่าวออกมา เชิญคุณก้อยตัวจริงแสดงตัวให้ดูเพื่อยืนยัน แต่ก็ไม่มีการตอบสนองอะไรทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ไม่มีการแถลงข่าวเรื่องเข้าคุก (ตรงนี้ต้องขออธิบายเพิ่มเติมว่า สื่อมีรายงานข่าวเรื่องคุณก้อยว่ากระทำผิดราชสวัสดิ์ และได้รับโทษถูกถอดยศและริบเครื่องราชฯ ทุกอย่างเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการรายงานเรื่องถูกลงโทษให้คุกแต่อย่างใด ข่าวถูกลงโทษให้จำคุกมาจากข่าววงในจากสื่อแบบผู้เขียนเท่านั้น)
ผู้เขียนก็เรียกร้องให้ทางการเปิดเผยเรื่องสถานการณ์ของคุณก้อยในเรือนจำอย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ว่าตอนนี้เป็นยังไง ยังมีชีวิตอยู่ไหม
….เงียบ…เป็นปี
จนมาถึงช่วงที่ผู้เขียนต้องลี้ภัยมาต่างประเทศ จากลี้ภัยไปแถวเอเชีย แล้วลี้ต่อไปยุโรป จนย้ายมาลี้ที่นิวซีแลนด์ได้หลายเดือน และผู้เขียนก็เกิดเรื่องขัดแย้งกับคุณตั้งอาชีวะ แล้วย้ายออกมาอยู่ลำพัง (คนขอให้เล่าเรื่องนี้มาก แต่คงต้องขอเล่าให้ฟังในภายหลัง เพราะไม่ค่อยสำคัญ) แล้วก็มีข่าวออกมาว่า ในที่สุดข่าวลือเรื่องคุณก้อยก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คุณก้อยยังมีชีวิตอยู่…ในเรือนจำกลางกรุงเทพ (ต่อมาภายหลังก็ออกจากเรือนจำและถูกคืนยศและเครื่องราชฯ ให้ทุกอย่างกลับเหมือนเดิม พร้อมประกาศพระราชวินิจฉัยว่า กลายเป็นผู้ไม่มีมลทินใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วต่อมาก็ถูกสถาปนายศสูงขึ้นเป็นเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ”
ณ เวลานั้นเอง ผู้เขียนก็เพิ่งรู้ตัวและตาสว่างว่าตัวเอง “ถูกหลอก” แล้ว ติดต่อกลับไปยังเธอผู้เป็นสายข่าววงในคนนั้นว่าหลอกผู้เขียนทำไม เธอก็ยอมรับ บอกว่าหนูก็เสียใจที่หลอกอาจารย์ ร้องไห้เหมือนกัน เราถูกจ้างมาเป็นทีม มีด้วยกันหกคน หนูเป็นคนเปิดหน้าคุย ที่เหลือเป็นทีมเทคนิคแฮกเกอร์คอมพิวเตอร์อินเทอเน็ต
เสียใจ ตัวเองยอมรับว่าเสียใจอย่างมาก ช้ำใจ เสียใจจนตัดสินใจหลายอย่าง อย่างแรกคือตัดสินใจเลิกหรือหยุดการสื่อข่าวสารเรื่องวัง ต้องปล่อยให้คนอื่นที่เขาเก่งกว่าแม่นกว่า อย่างระดับ อ.สมศักดิ์เจียมฯ ฯลฯ หรือใคร เขาทำกันไป (ที่จริงอาจารย์สมศักดิ์เคยฝากบอกกับ อ.จรัลมาแล้ว ต้องขอบคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย) แล้วเราก็ทำเฉพาะเรื่องศาสนวิทยาอะไรก็ทำไป อย่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก (อันที่จริงจะว่าไป ข่าวที่หลายคนลือ ๆ กันมาหลายเรื่องก็ถูกพิสูจน์ว่าไม่จริงแล้ว อย่างเช่นเรื่องโครงการอภิมหาคอมเพล็กซ์ในวัง เป็นต้น)
และต้องเล่าด้วยว่า ช่วงนั้นช่องทางสื่อสารของผู้เขียนถูกแฮกเก้อเข้ามายึดและสวมรอยได้หมดอย่างเหลือเชื่อ ทั้งเฟซบุ๊ค เมสเซนเจอร์ ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่ไลน์ (แต่ไม่แน่ใจว่าอีเมล์ก็ถูกแฮก และโทรศัพท์โดนดักฟังด้วยหรือเปล่า) ต้องหยุดใช้ ปิดยาว หรือบางอันถึงขั้นทิ้งไปเลย
ถึงตรงนี้ผู้เขียนแม้ไม่เคยยืนยันว่าเรื่องคุณก้อยเสียชีวิตในคุกเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ (เพียงบอกว่ามีข่าวส่งมา คนส่งข่าวยืนยัน โดยตัวเองรู้สึกเชื่อ แต่เรียกร้องให้มีการพิสูจน์) แต่ถึงกระนั้นต้อง “ขออภัย” มิตรสหายทั้งมวลอย่างจริงใจ ขณะเดียวกันก็ลงโทษตัวเอง ถึงตอนนี้ก็รวมเป็นเวลาได้สี่ปีแล้ว (2019-2023)
…ขออภัยจริง ๆ….
เรื่องที่สาม
เป็นเรื่องสถานการณ์ที่ทำให้กลายเป็นผู้ลี้ภัยจนถึงขณะนี้
พยายามเล่าให้สั้นที่สุดก็คือ หลังจากที่ได้วิพากษ์วิจารณ์สื่อสารเรื่องสถาบันฯ มาตลอดระยะเวลาหนึ่ง ก็มีการส่งคำขู่มาหลายครั้งและหลาย ๆ ช่องทาง จนช่วงท้ายชัดและรุนแรงมาก ขนาดบอกได้ว่าขณะนี้เราอยู่ตรงไหนและให้ออกไปนอกประเทศก่อนวันที่เท่าไหร่ เพราะจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไร ไม่ใช่เท่านั้น กลุ่มคนขู่ยังติดต่อคุกคามไปยังพ่อแม่ของเจ้าของบ้านว่า ถ้ายังให้ผู้เขียนอยู่ก็จะเดือดร้อนไปด้วย คงจะบุกเข้าไปเร็ว ๆ นี้ ไม่อยากให้เดือดร้อน รายละเอียดมีมากมายหลายเรื่องและไม่อาจเล่าตรงนี้ได้ แต่ชัดเจนว่าคณะที่ทำเรื่องข่มขู่ทำการบ้านดีมาก (จำได้ว่า บก.ลายจุดเคยบอกกับผู้เขียนต่อหน้าว่า ผมแน่ใจว่าอาจารย์น่าจะโดนหมายหัวเรียบร้อยแล้ว แต่เขาคงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะจัดการอาจารย์อย่างไรดี …ตอนนี้พวกเขาคงนึกออกแล้ว)
จำได้ว่าตัวเองก็กลัวมาก เคยนึกว่าไม่กลัว แต่จริง ๆ แล้วกลัว ไม่ใช่แค่ตัวเองกลัว บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดก็กลัว และตัวเองก็กลัวจะไปทำให้ลูกศิษย์เดือนร้อนไปด้วย ยังสร้างเนื้อสร้างตัวกันอยู่ ลูกก็ยังเล็ก
เลยตัดสินใจออกนอกประเทศ ไปอินเดีย พักนึงกลับเข้ามา ทางการเขาก็รู้ ก็ต้องออกไปอีก ว่าจะไปอิสราเอลต่อ พอดีตอนนั้นอิสราเอลกำลังมีก่อการร้าย เกิดระเบิดอีก เลยตัดสินใจไปฝรั่งเศส ขอวีซ่าได้เร็วมาก เร็วเสียจนรู้สึกแปลกใจ เหมือนมีคนช่วย ได้ปุ๊บก็ซื้อตัวขึ้นเครื่องไปทันที ลงสนามบินที่ปารีส อ.จรัล ดิษฐาพิชัย ให้คนมารับ ให้ไปพักบ้านคุณพี่นาในปารีส ให้วงไฟเย็นช่วยดูแล พาไปที่นั่นที่นี่ จนสนิทกับคุณจอม กับคุณแยม และใครอีกคน (ขออภัยที่ลืมชื่อ) ของวงไฟเย็น คุณอั๊มเนโกะ รวมทั้งอยู่ในเหตุการณ์ที่อั๊มถูกทำร้ายหน้าร้านกาแฟที่เราไปเสวนากัน ขอบคุณ อ.จรัลที่ช่วยดูแลตลอด และการสนทนากันหลายครั้งซึ่งมีคุณค่ามาก ต้องถือว่าได้รับความรู้ลึก ๆ จากอาจารย์มาก เรื่องเกี่ยวกับทั้งสถาบันและแวดวงผู้ลี้ภัยจากที่ฝรั่งเศสมากมายจริง ๆ (รวมทั้งอยู่ฝรั่งเศสจนขึ้นรถไฟรถเมล์ไปไหน ๆ เองได้)
การมาต่างประเทศตอนนั้นไม่เหมือนกับที่เคย สมัยก่อนที่มาต่างประเทศ มาทีไรก็เพื่อมาเที่ยวมาประชุมมาเรียนมาดูงาน ก็สุขสบายเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เที่ยวนี้มาแบบคนหนีตาย แย่กว่าหนีคดีเสียอีก จำได้ว่าตอนนั้นเหมือนคนใจสลาย ไร้อนาคต ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน ไม่รู้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยเขาเป็นกันยังไง ติดต่อขอสมัครกันยังไง ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง ยิ่งมาอยู่ฝรั่งเศสซึ่งผู้คนเขาไม่อยากใช้ภาษาอังกฤษ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ขณะที่อยู่ฝรั่งเศสก็มีมิตรสหายหลายคนจากหลายประเทศก็ติดต่อเข้ามาให้กำลังใจ ทั้งที่เป็นผู้ลี้ภัยและที่ไม่ใช่ ก็ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ ในจำนวนนั้นก็มีคุณเล็ก จรรยา ผู้ลี้ภัยที่ฟินแลนด์ และคุณตั้ง อาชีวะ ผู้ลี้ภัยที่นิวซีแลนด์ด้วย คุณเล็กจรรยาชวนให้ไปอยู่ฟินแลนด์ เขาจะช่วยติดต่อกับทางรัฐบาลให้ จะอย่างไรก็ขอให้มาลองดู ก็รับปากว่าจะไป
ส่วนคุณตั้ง อาชีวะนั้น ติดต่อมาทางเมสเซนเจอร์และทางไลน์ และได้พูดคุยกันมากเสียจนกระทั่งจากที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยกลายเป็นสนิทมาก ๆ (ขอย้ำว่าผู้เขียนรู้สึกสนิทสนมมากๆ) คุณตั้งพูดจาไพเราะน่ารักมาก จนถึงกับเรียกผู้เขียนว่าพ่อ รวมถึงแสดงการกราบผู้เขียนในขณะพูดคุยทางไลฟ์หลายครั้ง และคุณตั้งก็ชวนผู้เขียนให้ย้ายออกมาจากฝรั่งเศส (รวมทั้งอย่าไปอยู่ฟินแลนด์ด้วย) ให้บินมาอยู่กับเขาที่นิวซีแลนด์ โดยให้เหตุผลว่าการอยู่ฝรั่งเศสอันตรายเนื่องจากอยู่ใกล้ประเทศเยอรมันซึ่งกษัตริย์พำนักอยู่ นิวซีแลนด์มันห่างไกลจนทางการไทยเอื้อมมือมาไม่ถึง
สอง เนื่องจากผู้เขียนอายุมากแล้วและแพ้ความหนาวเป็นอย่างยิ่ง คุณตั้งบอกว่าที่นิวซีแลนด์ไม่หนาวเท่าฝรั่งเศส (และแน่นอนว่าฟินแลนด์ด้วย) และใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างเดียว สาม คุณตั้งบอกว่า พวกผู้ลี้ภัยที่ฝรั่งเศสไม่ได้หวังดีหรือหวังช่วยอะไรผู้เขียนมาก เพียงแต่ต้องการดึงผู้เขียนไว้เพื่อใช้ชื่อเสียงที่ผู้เขียนมี ณ ขณะนั้นเป็นเครื่องดึงดูดในการทำกิจกรรมของพวกเขาให้ได้รับความสนใจยิ่งขึ้น
สี่ คุณตั้งยังบอกอีกว่า พวกผู้ลี้ภัยที่ฝรั่งเศสช่วยอะไรผู้เขียนไม่ได้ เพราะงานก็ยังไม่มีทำกัน ไม่เหมือนเขาที่ตั้งตัวได้แล้ว และฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัว ก็อยากให้อาจารย์มาเป็นเหมือนพ่อของครอบครัวเขา และมาเป็นคุณตาให้กับลูกเขา ภรรยาก็กำลังตั้งครรภ์ลูกอีกคน และเขาพร้อมจะดูแลอาจารย์ให้มาอยู่แบบผู้เกษียณไปจนตาย
ผู้เขียนตอนนั้นเป็นแบบคนสูงอายุใกล้หกสิบที่กำลังอยู่ในภาวะใจสลาย ไม่มีแผนอนาคต ไม่รู้จะไปทางไหนด้วย ได้รับการติดต่อแบบนี้ต้องยอมรับว่ายอมให้หมดทั้งตัวทั้งใจเลย ตอนนั้นก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง ขนาดพอประมาณ ก็บอกกับคุณตั้งว่า ในเมื่อตั้งพูดมาขนาดนี้ ให้ใจกันขนาดนี้ ผู้เขียนก็ตัดสินใจเทให้หมดใจ บอกไปว่า โอเค จะไปอยู่กับคุณตั้งกับครอบครัว จะไปเป็นเหมือนคุณพ่อของคุณตั้ง จะไปเป็นตาให้กับหลานๆ จะช่วยเลี้ยงหลาน (เพราะเป็นคนรักเด็กมาก) รวมทั้งจะเอาเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ไปร่วมทุนทำธุรกิจกับคุณตั้ง จะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ช่วยธุรกิจคุณตั้งอย่างเต็มที่
มีอีกเรื่องที่ต้องเล่าควบคู่กันไปด้วย (ขออภัยที่เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน) ช่วงที่คุณตั้งติดต่อพูดคุยมา และผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจอย่างหนัก จู่ ๆ ผู้เขียนก็ได้รับการติดต่อทางอินบ๊อกซ์โซเชียลจากบุคคลหนึ่งซึ่งไม่เคยติดต่อมาก่อน เขาบอกว่าเขาเป็นนายตำรวจระดับสูงของไทยที่แอบคอยช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอย่างลับ ๆ มาตลอดและช่วยสำเร็จมาแล้วหลายคน และอยากช่วยเหลือผู้เขียนให้ปลอดภัยและสามารถลี้ภัยได้จนสำเร็จ ผู้เขียนก็พูดคุยด้วยจนรู้สึกไว้วางใจ และเล่าให้เขาฟังหมดว่าใครติดต่อมาบ้าง และปรึกษาว่าควรตัดสินใจไปที่ไหนดี เขาก็บอกว่าเขารู้จักคุณตั้งดี และเห็นว่าคุณตั้งเป็นคนเก่งมีฝีมือ สามารถหลบหลีกรับมือกับทางการไทยได้เก่งกว่าใคร มาตั้งแต่ครั้งที่ยังลี้ภัยในเขมร ขอให้ตัดสินใจไปอยู่กับคุณตั้งที่นิวซีแลนด์
ในที่สุด ทั้งจากการเชิญชวนที่น่ารักกินใจของคุณตั้ง และยิ่งมาได้คำแนะนำจากตำรวจลับทางโซเชียล อย่างลับ ๆ ก็เลยตัดสินใจ …ไปอยู่กับคุณตั้ง ที่นิวซีแลนด์
เมื่อบินมาลี้ภัยที่นิวซีแลนด์จริงๆ (เพิ่มเติมว่า ก่อนมาก็ต้องไปเยี่ยมหาคุณเล็กจรรยาที่ฟินแลนด์ก่อน เพราะรับปากไปแล้ว อยู่ช่วงนึงแล้วก็บินจากฟินแลนด์มานิวซีแลนด์ แล้วสภาพการณ์บินมาตอนนั้นเลวร้ายมาก ซื้อตั๋วเครื่องบินจากฟินแลนด์แล้วแต่ต้องทิ้ง ซื้อตั๋วใหม่ เพราะตอนซื้อก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะมีคนจัดการให้ตลอด เครื่องบินทรานสิทที่กรุงเทพ มิตรสหายผู้ลี้ภัยก็บอกว่าจะมาทรานสิทที่ไทยได้ยังไง ถูกตะครุบตัวพอดี ทรานสิทที่จีนก็ไม่ได้ เพราะจีนเป็นมิตรกับไทย ก็เชื่อเขาเลยตัดใจทิ้งตั๋ว ซื้อใหม่อีกรอบ เลือกที่ทรานสิทที่กาตาร์ เสียเงินเปล่าไปมากพอสมควร)
พอมาอยู่กับคุณตั้ง รักหมดใจ อยู่ไปราวสักสองสัปดาห์ คุณตำรวจลับติดต่อเข้ามา บอกว่า ทางการไทยกำลังจะดำเนินยึดทรัพย์ผู้เขียน เงินในบัญชีของผู้เขียนที่ยังอยู่ในธนาคารไทยทั้งหมดจะไม่สามารถเบิกถอนได้ หรือใช้บัตรกดจากต่างประเทศก็ไม่ได้ ให้ดำเนินการแก้ไขโดยด่วน
ตอนนั้นผู้เขียนตกใจมาก กลัวไปหมด ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เงินเก็บก้อนสุดท้ายกำลังจะถูกยึด ตัดสินใจเฉพาะหน้า ใช้แอปโอนเงินกระจายไปให้ญาติและลูกศิษย์บางคน พอให้พ้นบัญชีตัวเองไปก่อน เพื่อไม่ให้ถูกยึด แล้วค่อยหาทางโอนมานิวซีแลนด์ทีหลัง เพราะตอนนั้นทำธุรกรรมอะไรที่นี่ก็ยังไม่เป็น บัญชีที่นิวซีแลนด์ก็ยังไม่มี เปิดบัญชีก็ไม่ได้
วันรุ่งขึ้นเล่าให้คุณตั้งฟัง คุณตั้งบอกว่าเขามีวิธีแก้ โดยให้โอนเงินไปเข้าบัญชีลูกน้องเขาที่ไทย แล้วเขาก็จะโอนมาเข้าบัญชีคุณตั้งที่นิวซีแลนด์ แล้วเขาจะเบิกเงินสดออกมาให้ แล้วให้ผู้เขียนซื้อตู้เซฟมาไว้เก็บเงินสดที่บ้านเขา ผู้เขียนก็เริ่มทำโดยตั้งใจจะค่อย ๆ ทยอยโอนทีละก้อน และคอยฟังข่าวจากคุณตำรวจลับที่คอยช่วยเหลืออยู่ไปด้วย
สภาพของผู้เขียนตอนนั้นหมดสภาพจริง ๆ แล้ว มาพักอาศัยอยู่กับครอบครัวคุณตั้งแบบไม่รู้จักคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว มาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ เงินสดที่พกติดตัวก็ร่อยหรอจนเกือบหมด โดยเฉพาะจากการใช้จ่ายในการเดินทาง เหลือแต่เงินในบัญชีซึ่งก็โอนไปอยู่กับคนอื่นหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
การกินการอยู่พยายามประหยัดอย่างที่สุด ใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เพราะเงินสดเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนใกล้จะหมด และเพื่อไม่ให้เป็นภาระคุณตั้งด้วย เพราะคุณตั้งบอกเสมอว่านิวซีแลนด์ค่าครองชีพสูงมาก ทุกอย่างแพง อาหารแพง ค่าไฟแพง ค่าน้ำแพง ฯลฯ ตอนนั้นมีของชิ้นใหญ่ที่ตัดใจซื้อมีสองอย่าง หนึ่งคือจักรยาน อันที่สองเป็นของฟุ่มเฟือยแต่มันห้ามใจไม่อยู่จริงๆ คือคิดถึงเปียโนมาก ขอคุณตั้งช่วยหาซื้อเปียโนไฟฟ้าใช้แล้วให้หน่อย คุณตั้งก็ช่วยหาให้ ราคาห้าร้อยกว่าดอลล่าห์(นิวซีแลนด์) ก็ตัดใจซื้อไป เรื่องอาหารการกิน ผู้เขียนก็ได้รับรู้เรื่ององค์กรสงเคราะห์ให้อาหารฟรีที่มีอยู่หลายจุดในเมือง ส่วนใหญ่ก็เป็นองค์กรช่วยเหลือสังคมของชาวคริสต์ ผู้เขียนก็ไปต่อแถวขอรับอาหารฟรีซึ่งก็เอากลับมาทานที่บ้านได้คราวละหลายวัน หมดก็ไปรับใหม่
ตอนอยู่กับคุณตั้งช่วงแรกผู้เขียนรู้สึกสนิทกับคุณตั้งมาก ๆ เขาน่ารัก พูดเพราะ เรียกผู้เขียนว่าพ่อ กราบลงกับพื้นบ่อย ผู้เขียนก็ให้ใจหมด เปิดใจหมด เราต่างคนต่างเล่าอะไรให้ฟังกันสารพัด เขาก็เล่าเรื่องสมัยที่เขาเป็นเสื้อแดง ขึ้นปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง เขาพูดหมิ่นสถาบันฯยังไง แล้วโดนคดี 112 เพราะไปด่าในหลวง (ร.9) อย่างหยาบคายบนเวทีเสื้อแดงยังไง ภรรยาเขาก็เล่าแบบเปิดใจให้ฟังหมดว่าเจอกันหน้าเวทีเสื้อแดงยังไง คบกันได้ยังไง คุณตั้งยังเล่าอีกว่า รู้จักสนิทสนมกับวงไฟเย็นที่ตอนนี้ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศสยังไง คุณตั้งยังเล่าให้ฟังเพิ่มเติมภายหลังอีกว่า สมาชิกหญิงของวงไฟเย็น ไม่ได้รู้เรื่องการเมืองอะไร แต่เอาอวัยวะเพศเข้าแลกเพื่อให้ได้เข้าสู้วงการผู้ลี้ภัย) จำได้ว่าตอนนั้นอยากประหยัดค่าตัดผมที่ร้าน ก็ยังขอให้คุณตั้งเขาช่วยตัดผมให้
ผู้เขียนก็พยายามช่วยเลี้ยงหลานทั้งสองคน ซึ่งพอดีหลานก็น่ารักด้วยก็ยิ่งยินดี จนตากับหลานก็เลยสนิทมาก ก็ดีใจที่อีกไม่นานก็จะมีหลานเพิ่มอีกคน ก็ตั้งใจว่าจะช่วยเลี้ยงหลานเต็มที่ จำได้ด้วยว่า วันหนึ่งลูกสาวคุณตั้งตัวร้อน และมีอาการโยเย ผู้เขียนสังเกตเห็นแล้วบอกคุณตั้งกับภรรยาเขาว่าลูกตัวร้อนนะ น่าจะเป็นไข้ไม่สบาย เขาทั้งคู่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผู้เขียนเลยขออาสาเช็ดตัวให้ลูกสาวเขาซึ่งเราก็รักเหมือนหลานสาวเราเอง ตัวก็เย็นลง หลานก็อาการดีขึ้น ยังจำได้ว่า คุณตั้งก้มลงกราบผู้เขียนที่พื้น แล้วยังหันไปตวาดภรรยาว่า ทำไมเธอถึงดูแลลูกไม่เป็น อาจารย์เขายังรู้มากกว่าเลย
พออยู่กับคุณตั้งได้สักเดือน คุณตั้งก็บอกว่าจะไม่อยู่บ้านทั้งครอบครัว จะต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเป็นระยะ ๆ เพื่อหาช่องค้าขาย ขอให้ผู้เขียนช่วยเฝ้าบ้านให้ และขอให้ถือเสียว่าเป็นเหมือนบ้านของอาจารย์เอง ยังซาบซึ้งกับคำพูดของคุณตั้งได้ขึ้นใจ “ถ้าเป็นได้ ตั้งอยากจะเขียนป้ายชื่อบ้านว่าเป็นบ้านของอาจารย์เลย” ฟังแล้วซาบซึ้งมาก ให้หมดใจเลย
อย่างไรก็ตาม ช่วงคุณตั้งไม่อยู่ก็ต้องเฝ้าบ้านคนเดียวเป็นเดือน ๆ เหงามาก ไม่รู้จักใครที่ไหนเลย ไม่รู้จะทำอะไร บางทีทางเจ้าของบ้านเช่าก็ให้ช่างประปามาซ่อมห้องน้ำครั้งใหญ่ ก็ต้องอยู่เฝ้าไปทั้งวัน หรือช่างซ่อมไว้ไม่เรียบร้อยดี เราก็ทำของเราเองต่อจนให้มันดี
อันหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยคือ ก่อนที่คุณตั้งจะให้อยู่บ้านคนเดียว ได้ทำการติดตั้งกล้องเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ และผู้เขียนไม่เคยได้รับการบอกกล่าวว่าติดกล้องเอาไว้ว่าเพื่อป้องกันขโมยหรืออะไร
.....
เรื่องที่สี่
ถึงตรงนี้ก็คงต้องหยุดแวะเพื่อตอบคำถามที่คนถามมามากว่า เรื่องที่ตั้งเอาอาจารย์ไปด่าทอไปทั่วและด่ามาเป็นปี ๆ ว่าอาจารย์ “สกปรก” “ชักว่าวไปทั่ว” จริงไหม?
ก็ขอตอบว่า “จริง…และไม่จริง”
เรื่องที่บอกว่าสกปรก คงจริงกระมัง แล้วแต่จะคิดแง่ไหนด้วย คนอยู่ป่าอยู่ดงคนเดียวมาเป็นเวลานาน ๆ คงถือได้สกปรก กลายเป็นนิสัยถาวร ยิ่งอยู่ที่นิวอาบน้ำสามสี่วันครั้งก็ยิ่งแล้ว ก็เมืองนอกมันหนาว แต่ก็ไม่เห็นแปลกนะ เพราะทีคุณจอมไฟเย็นที่ฝรั่งเศส ซึ่งคุณตั้งบอกว่าคนนั้นอาบน้ำแค่ปีละครั้ง แต่คุณตั้งก็ไม่เห็นไปโกรธเกลียดอะไรเขา เอาเขาไปด่าทอทั่ว อีกอย่าง ก็รับทราบจากคุณตั้งบ่อยครั้งว่าที่นิวซีแลนด์ค่าไฟค่าน้ำแพง ผู้เขียนก็พยายามประหยัดเต็มที่ เรื่องสกปรกนี่ยิ่งหนัก เพราะส่วนตัวอายุยิ่งมากยิ่งมีอาการอัลไซเมอร์อ่อน ๆ ลืมง่าย ถ่ายลืมล้าง เข้าห้องน้ำลืมปิดประตู ฯลฯ
เรื่อง “ชักว่าวไปทั่ว” ดูเหมือนคุณตั้งพยายามพูดให้ดูน่าเกลียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่จริงก็คือการ masterbation หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองที่คนไทยเรียกชักว่าวนั้น ก็เป็นเรื่องปกติธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ ธรรมชาติธรรมดาเสียยิ่งกว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนเสียอีก และผู้เขียนก็ทำจริง ทำโดยไม่ได้รู้สึกผิดปกติและผิดศีลธรรมอะไรทั้งสิ้น
ผู้เขียนกลับมีปัญหาว่าทำน้อยเกินไป และทำได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามทฤษฎีและการวิจัยที่หมอบอกไว้ ควรทำให้ได้มากกว่านี้ แต่มันทำไม่ไหว คือมันไม่ขึ้น ก็คงต้องพยายามต่อไป
.
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทำไปตามที่พอไหวก็ปรากฎว่ามันได้ผล ช่วยได้มากทีเดียว ไปให้หมอที่นิวซีแลนด์ตรวจก็พบว่าความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อเทียบกับวัยขนาดนี้แล้ว ถือว่าลดลงมาก และยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้านอื่นอีกอย่างนึกไม่ถึง (ถ้าอยากฟังจะเล่าให้ฟังภายหลัง)
ปัญหาอยู่ที่คุณตั้งพยายามบอกว่า “...ไปทั่ว” อันนี้ต้องขอบอกว่า คุณตั้งพยายามสื่อเป็นนัยเพื่อทำให้คนทั่วไปพลอยเข้าใจว่าผู้เขียนไปทำในที่สาธารณะ ซึ่งต้องขอยืนยันว่าไม่จริง ผู้เขียนทำแต่ในที่ส่วนตัว มิดชิด รโหฐาน ในบ้านเช่าที่ผู้เขียนต้องอยู่คนเดียวเพื่อเฝ้าบ้านให้คุณตั้ง เป็นเดือนๆ แถมผู้เขียนเป็นคนขี้เขินอย่างแรงด้วย ไ่ม่มีทางทำไปทั่วดอก
.
ถึงตรงนี้ก็ต้องตอบคำถามต่อเนื่องอีกเรื่องคือ “ตั้ง อาชีวะ ด่าอาจารย์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ มาเป็นปี ๆ ทำไมอาจารย์ไม่ตอบโต้อะไรเลย เงียบหายไปเลยนานเป็นปี ๆ” ก็ขอตอบเหตุผลเป็นข้อ ๆ อย่างนี้
ข้อแรก ยังเสียใจกับตัวเองและลงโทษตัวเองที่ถูกขบวนการสายข่าวปลอมหลอก เสียใจที่ไปหลงเชื่อเขา เสียใจที่ไม่ตรวจสอบให้ดี (ก็จะให้ตรวจสอบยังไง เรียกร้องให้มีการตรวจสอบแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่เรื่องคุณก้อยติดคุกอยู่ในเรือนจำกลางยังไม่มีสื่อรายงานเลยด้วยซ้ำ) นี่ก็ยังเสียใจ ช้ำใจอยู่จนถึงบัดนี้
ข้อสอง พอตอนนั้นหยุดสื่อสาร หยุดเสพข่าว หยุดเข้าโลกโซเชียล หยุดสื่อสาร สักพักมันเกิดความสงบสุขอย่างคาดไม่ถึง แล้วเกิดติดใจ เลยหยุดต่อไปเรื่อย ๆ ๆ จนเพลินและลืมไปเลย ระหว่างนั้นก็ไปทำอย่างอื่น ไปทำสิ่งที่อยากทำมานานแล้วแต่ไม่เคยทำ หรือเคยทำแต่หยุดทำไปนานก็ได้กลับมาทำต่อพัฒนาต่อ ยิ่งเพลินไปกันใหญ่ทีนี้
สาม คือ ผู้เขียนยังเหลือความรู้สึกสนิทสนมผูกพันกับคุณตั้งอยู่มาก เลยยังลังเลใจตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรกับคุณตั้งดี ผู้เขียนเองติดนิสัยว่าพอใครนับถือเรียกเราเป็นพ่อแล้ว กราบเราแล้ว เราก็ให้ใจไปหมดเลย เป็นแบบนี้กับหลายคน บอกรักเราเป็นพ่อแล้วขอยืมเงินยืมทอง ก็ปฏิเสธไม่ลง แถมพอเบี้ยวก็ทำใจทวงไม่ลง ฟ้องไม่ลง นี่ยิ่งเรารักลูกเขาถือเหมือนเป็นหลานเราด้วย ยิ่งให้ใจไปใหญ่ เลยไม่อยากทำอะไร
สี่ อันนี้อาจเป็นประเด็นสำคัญด้วย คือ ลึก ๆ ตัวเองก็กลัวคุณตั้งอยู่พอสมควร คือตอนที่รักใคร่สนิทสนมกันอยู่ คุณตั้งเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเคยทำให้ฟังไว้มาก ก็เลยรู้ซึ้งถึงลักษณะนิสัยของคุณตั้งดี เช่น ตอนคุณตั้งเล่าว่า ตอนมาอยู่นิวซีแลนด์ใหม่ ๆ ไปเห็นคนไทยทำป้ายนิทรรศการเทิดพระเกียรติในหลวง ก็เลยแอบไปทำลายป้ายนิทรรศการดังกล่าว
หรือคุณตั้งเล่าว่า ตอนที่หลบหนีคดี 112 จากไทยไปเขมรใหม่ ๆ ก็ไปอยู่รวมกับกลุ่มเสื้อแดงที่ลี้ภัยไปด้วยกัน แล้วแกนนำกลุ่มมาบอกว่า ทางกลุ่มจะช่วยฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีเขมร ด้วยการทำลายการประท้วงของพวกนักศึกษาเขมรที่มาประท้วงฮุนเซนเรียกร้องประชาธิปไตย แล้วก็ขอให้คุณตั้งเป็นผู้ทำระเบิด เนื่องจากคุณตั้งเป็นคนสายอาชีวะ และมีความสามารถในการทำระเบิดเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว ซึ่งคุณตั้งก็ดำเนินการให้ ส่วนคนเอาไปใช้ก็เป็นอีกกลุ่ม
หรือคุณตั้งบอกว่า เขาเชื่อว่ากรณีของผู้เขียนไม่น่าจะยังไม่ร้ายแรงพอที่ที่ทางรัฐบาลนิวซีแลนด์จะให้สถานะเป็นผู้ลี้ภัย เพราะทางการไทยเลือกที่จะไม่ตั้งข้อหา 112 อย่างเป็นทางการให้กับผู้เขียน ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ผู้เขียนวิจารณ์ก็เหมือนกันหรือเข้มข้นยิ่งกว่าที่หลายคนรวมทั้งน้อง ๆ เยาวชนตอนนี้ที่ทำแล้วโดนข้อหา 112 กันถ้วนหน้าเสียอีก (หมายเหตุ: ตอนนั้นหลายคนและหลายฝ่ายต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า เพราะตอนกรณีของผู้เขียน ทางการได้เรียนรู้แล้วว่า การตั้งข้อหา 112 กลายเป็นข้อที่ทำให้บุคคลเหล่านั้นได้รับสถานะผู้ลี้ภัยกันได้ง่าย ๆ จนเป็นที่พอใจและอยากได้ของหลายคนที่อยากเป็นผู้ลี้ภัย ฉะนั้น ทางการจีงเลือกที่จะเลิกการตั้งข้อหา 112 แล้วให้บุคคลที่วิจารณ์เหล่านั้นไปตกระกำลำบากในต่างประเทศแทน หรือรวมทั้งกำจัดอย่างเงียบ ๆ ในต่างประเทศ ดีกว่าจะใช้วิธีการทางกฎหมาย)
คุณตั้งก็เสนอว่าเขาคิดจะช่วยโดยการให้บรรดาคนอาชีวะซึ่งเป็นลูกน้องของเขา แอบไปพ่นสีด่าในหลวงตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ แล้วลงชื่อว่าเป็นผู้เขียน เพื่อกดดันให้ทางการไทยตั้งข้อหา 112 ให้ ผู้เขียนจะได้เอามาใช้เป็นเงื่อนไขขอรับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยได้อย่างง่ายดาย ผู้เขียนฟังข้อเสนอนี้แล้วก็อึกอักและกังวลใจมาก เพราะมันไม่ใช่แนวทางไม่ใช่สไตล์ของตัวเอง ตัวเองถูกทุกฝ่ายล้อเลียนว่าสุภาพเรียบร้อยจนถึงกับหวานแหววเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่พออีกวันคุณตั้งมาบอกว่าเขาคงตัดสินใจไม่ทำ เพราะยังนึกไม่ออกว่าพอพ่นสีเสร็จจะให้ลูกน้องอาชีวะหนียังไง (…โล่งอก)
.
อีกเรื่องคือ คุณตั้งเล่าว่า ตอนหนีคดี 112 หลังรัฐประหารไปอยู่เขมรร่วมกับผู้ลี้ภัยอื่น ๆ สักระยะหนึ่งก็ย้ายไปอยู่ที่พักที่ทางสหประชาชาติให้ผู้ลี้ภัยอยู่รวมกัน แล้วรอเวลาที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติจะดำเนินการให้ผู้ลี้ภัยแต่ละคนสามารถเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม (แน่นอนว่าทุกคนอยากไปอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว) ผู้ลี้ภัยทั้งหลายก็จะตั้งตารอคอยวันที่การอนุมัติมาถึง บางคนรอไม่นาน บางคนรอนาน ก็แล้วแต่กรณี มีหลายเหตุผล แต่คุณตั้งเล่าว่า เขาพาแฟนจากไทยมาอยู่ด้วย และไม่อยากให้รอนาน กลัวจะเบื่อ เขาเลยเผาค่ายที่พักจนเกิดการโกลาหลกันใหญ่ รวมทั้งยังขโมยรถของเจ้าหน้าที่สหประชาติไปใช้ แต่ผลที่เขาได้รับคือ เจ้าหน้าที่สหประชาชาติดังกล่าวทนเขาไม่ไหว เลยเร่งทำเรื่องให้เขากับแฟนได้เดินทางไปประเทศที่สามก่อนคนอื่น ๆ
.
ขอเล่าตัวอย่างแค่นี้แล้วกัน เพราะไม่อย่างนั้นจะยาวมากจนเป็นนิยาย แต่สรุปก็คือ พอฟังมากก็เลยพอเห็นว่า คุณตั้งมีทักษะความสามารถในการใช้ความรุนแรงสูง รวมทั้งมีความบ้าบิ่นกล้าได้กล้าเสีย จนถึงไม่ได้ยึดมั่นภักดีต่อหลักการอะไร เน้นที่การเอาตัวให้รอดและทำเป้าหมายของตนบรรลุผลสำเร็จให้ได้ มีความอำมหิตสูง ถ้าลองจะเป็นศัตรูกับใครก็พร้อมจะทำความเสียหายได้ทุกอย่าง ตรงนี้ก็ทำให้ผู้เขียนลึก ๆ ก็อดกลัวเขาไม่ได้ ภรรยาเขาซึ่งตอนแรกที่ยังรักนับถือกับผู้เขียนดีอยู่ก็บอก “อาจารย์ระวัง ตั้งมันเป็นคนรุนแรง ขนาดตอนที่เธอทำอะไรไม่ถูกใจ เขายังโกรธจนถึงกับจะขับรถพุ่งชนต้นไม้ นี่ยังกลัว มันบอกมันอยากชกหน้าอาจารย์”
…
แต่ถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดแวะตอบคำถามอีกข้อ “ตั้งประกาศว่า อาจารย์ถูกเขาเฉดหัวออกจากบ้าน จริงไหม?”
ก็ขอตอบว่า ไม่จริงเลย ผู้เขียนเป็นฝ่ายบอกคุณตั้งว่า อยากขอออกไปอยู่เอง เกรงใจคุณตั้ง ไม่อยากรบกวนนาน อีกทั้งคุณตั้งพูดเรื่องเงินบ่อยอยู่พอสมควร บอกว่าคนไทยที่เคยมาพักอยู่กับเขา แค่ไม่กี่อาทิตย์ให้ไว้ตั้งสามพันเหรียญ (นิวซีแลนด์ดอลล่าห์) หรือถ้าผู้เขียนจะให้เขาช่วยเขียนจดหมายรับรองเพื่อเอาไปขอสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลนิวซีแลนด์ คุณตั้งบอกว่าปกติเขาจะคิดสองแสน (อันนี้เดาว่าคงหมายถึงสองแสนบาท) ผู้เขียนตอบตัวเองในใจว่า เราสู้ไม่ไหว และยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งเป็นการรบกวนคุณตั้ง รู้สึกเกรงใจ
ยังเคยถามเขาว่า “ตั้งครับ ทำไมผมขอคุณเล็กจรรยาเขียนให้ หรืออาจารย์จรัลเขียนให้ เขาเขียนให้ทันทีเลย และเขียนให้ผู้ลี้ภัยทุกคน และไม่เคยเอ่ยปากเรื่องเงินเลย” คุณตั้งก็บอกว่า คนพวกนั้นแม้จะดูเหมือนมีสถานภาพเป็นผู้ใหญ่อะไรก็จริง แต่พวกนี้ช่วยอะไรไม่ได้จริง เพราะอยู่ประเทศอื่น การรับรองโดยคนที่อยู่ในประเทศจะมีน้ำหนักมากกว่า (ผู้เขียนมานึกตามดูก็คิดว่าคงจริงมัง ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีความรู้ไม่มีประสบการณ์เรื่องการลี้ภัยเลย จะรู้สู้คนเขาผ่านมาได้ยังไง)
ไม่เพียงเท่านั้น เผอิญตอนนั้นเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นมาโดยไม่ตั้ง คุณตั้งแอบเอาผู้เขียนไปด่าในกลุ่มส่วนตัว โดยไม่รู้ว่าผู้เขียนเป็นสมาชิกกลุ่มอยุ่ด้วย ก็เลยได้เห็นที่เขาด่าโดยบังเอิญ พอรู้อย่างนั้นผู้เขียนบอกคุณตั้งว่าขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ เลยตัดสินใจว่าจะขอออกไปอยู่เอง เขาก็บอกว่า ไม่อยากให้ไป อยู่กับเขาที่นี่แล แต่ก็อย่าขี้เหนียวกับเขาก็แล้วกัน แล้วเขาก็ทำทีประกาศบอกคนอื่นว่าอาจารย์ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ซึ่งที่จริงก็ยังพำนักอยู่กับเขา แต่ผู้เขียนก็บอกว่า มันทำใจไม่ได้ มันเหมือนหลอกคนอื่นเขา ขอแยกไปอยู่เองดีกว่า เขาก็ไม่พูดอะไร
แต่ปรากฎว่าคืนนั้น คุณตำรวจลับคนเดิมที่หายไปพักนึง ติดต่อแชทมาหากลางดึก บอกว่า ได้ข่าวมาว่าจะแยกออกจากคุณตั้ง ขอให้เปลี่ยนใจ อย่าแยกออกไป คุณตั้งเป็นคนเดียวที่สามารถปกป้องได้ เขามีความสามารถสูงเป็นที่ประจักษ์ และอีกอย่าง เขามีคลิปวิดีโอที่คุณชักว่าว เขาสามารถเอาไปเผยแพร่ทำลายชื่อเสียงคุณได้อย่างย่อยยับในชั่วพริบตา อย่าไปเสี่ยงกับเขา และถ้าแยกจากเขาไป ทางคุณตำรวจลับเองก็จะเลิกปกป้องคุณ คุณก็ต้องต่อสู้เองลำพัง แล้วยังจะถูกคุณตั้งทำลายด้วย ฯลฯ สรุปว่า อย่าแยกออกไป ไม่เชื่อก็ลองดู
.
เรื่องราวมีอีกมากมาย เล่าไปก็ยืดยาว สุดท้ายผู้เขียนก็ยืนกรานขอออกไปอยู่ด้วยตัวเองจนได้ เลือกขอไปเผชิญชะตาชีวิตเองดีกว่า เรียกว่าเอาล่ะ ตายเป็นตาย ถูกจับส่งกลับก็ช่างมัน หรือโดนคุณตั้งทำร้ายก็ช่างมัน ก็มีเพื่อนชาวอินเดียช่วยขับรถมาขนของ ไปอยู่บ้านใหม่
ตอนจะย้ายออก คุณตั้งยังบอกว่า ไหน ๆ อจ.จะไปแล้ว ขอเอาเปียโนไว้ได้ไหม เอาไว้ให้หลานฝึกเล่น ผู้เขียนซึ่งแม้ว่าจะรักเปียโนมาก ไม่มีตังค์ซื้อใหม่ด้วย ก็บอกว่า เอาเถอะเพื่อตั้งเพื่อหลาน ขอยกเปียโนสุดรักให้เลย รวมแล้วก็อยู่บ้านคุณตั้งได้ราวสามเดือนหรือเศษอีกหน่อย ให้เงินและของไปรวมทั้งหมดราวสามสี่หมื่นบาท ก็ไม่ได้มากมายอะไร และยังต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
จะว่าไป ตลอดระยะเวลาที่ลี้ภัยไปหลายประเทศ ก็ได้ไปพักอยู่บ้านของคนไทยหลายคนที่บอกว่าอยากช่วยเหลือผู้เขียนในการลี้ภัย และผู้เขียนได้ให้เงินหมดทุกบ้าน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ให้ตามกำลังที่มี ณ ตอนนั้น มีบ้านเดียวเท่านั้นที่ผู้เขียนไม่ได้ให้เงินเขาเลย เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากเรียกร้องเลย ไม่เคยแม้แต่แกล้งพูดเป็นนัยด้วยซ้ำ คือบ้านของคุณพี่นา ที่ฝรั่งเศส ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
อย่างไรตาม ผู้เขียนทราบดีว่า ที่ผ่านมาคุณตั้งได้พยายามทำร้ายผู้เขียนโดยพยายามเอาคลิปวิดีโอของผู้เขียนไปเผยแพร่ในที่ต่าง ๆ เพื่อมุ่งหวังเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้เขียน เพื่อให้ผู้เขียนอับอาย จนไม่มีที่ยืนในสังคม ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งทำลายโอกาสที่ผู้เขียนจะได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยในนิวซีแลนด์ คุณต้้งมาทำก่อนที่จะขัดแย้งกับผู้เขียน พอขัดแย้งเปิดเผยแล้วยิ่งทำมากขึ้น ทำใหญ่โตขึ้น และทำไม่หยุด ผู้เขียนก็ไม่รู้จะต่อสู้กับคุณตั้งยังไง ยิ่งสังคมไทยตอนนี้เป็นแบบแบ่งข้างแบ่งฝ่ายชัดเจน ถ้าเสื้อสีเดียวกันก็เข้าข้างกันทุกอย่าง ถ้าเป็นคนละสียังไงก็ต้องผิด ต้องเล่นงานกันไปทุกเรื่องทุกแง่ คุณตั้งก็เป็นคนดัง แฟนคลับเยอะ ผู้เขียนก็คงได้แต่ทำใจ
.
มีหลายคนถามต่อ “ตั้งทำขนาดนี้ ทำไมไม่ฟ้องหมิ่นประมาท ?” ผู้เขียนก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก คือยังรักเขากับหลานอยู่พอสมควร อีกอย่างคือ ผู้เขียนได้ศึกษากฎหมายของนิวซีแลนด์เรื่องการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท การบูลลี่ทางอินเตอเน็ต รวมทั้งได้ถามทนายความและตำรวจที่นิวซีแลนด์โดยตรง ทุกคนพูดตรงกันว่า เขาบอกว่า ในนิวซีแลนด์ไม่มีใครฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท ไม่มีเลย เพราะกฎหมายหมิ่นประมาทของนิวซีแลนด์อ่อนและช่วยอะไรผู้ถูกหมิ่นประมาทไม่ได้ กระบวนการทางศาลของนิวซีแลนด์ถือว่าการพิสูจน์การหมิ่นประมาทเป็นเรื่องยากมาก จนเอาผิดใครไม่ได้ เรื่องนี้ก็อยากให้คนไทยได้รับรู้เรียนรู้เหมือนกัน เรื่องที่คนไทยพูดกันว่า จะฟ้องหมิ่นประมาทและจะขอรับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น เรื่องพวกนี้ในนิวทำไม่ได้เลย ใครถูกหมิ่นก็ต้องทนไป ไปฆ่าตัวตายกันเอาเอง ตำรวจช่วยไม่ได้ ทนายหรือศาลก็ช่วยไม่ได้
ว่ากันว่า เรื่องนี้คนนึงที่รับผลร้ายมากที่สุดคนหนึ่งคือ นายกคนดัง จาซินด้า อาเดิ้น เธอถูกหมิ่น ถูกบูลลี่ จนกดดันมาก เลยลาออกไปเลย
อีกอย่างคือ การฟ้องร้องการหมิ่นประมาท ต้องใช้เงินมาก ค่าทนายที่นิวซีแลนด์ก็แพง ผู้เขียนก็จำเป็นต้องเก็บเงินไว้ใช้เพื่อสิ่งจำเป็นอย่างอื่น
คุณตั้งเขาทราบเรื่องพวกนี้ดี เขาเป็นคนฉลาด เราสู้เขาไม่ได้ดอก ทำใจดีกว่า
อีกเรื่อง ที่เสียใจที่สุดคือ คุณตั้งได้ติดต่อไปยังภรรยาของผู้เขียน ซึ่งแยกกันอยู่กับผู้เขียนนานเป็นสิบปีแล้ว เรื่องนี้ผู้เขียนเสียใจที่คุณตั้งไปรบกวนเธอ และพยายามเอาเรื่องการแยกกันอยู่มาทำลายผู้เขียน
ผู้เขียนเสียใจกับเรื่องนี้ที่สุด เพราะตัวเองทำให้ภรรยาเสียใจมามาก เธอเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่วิเศษ ในขณะที่ผู้เขียนเป็นคนทุ่มเทอะไรสุดโต่ง ทำงานก็บ้างานสุดตัว พอมาเป็นแอคทิวิสต์ทางการเมืองก็ทุ่มสุดตัว จนสุดท้ายตอนผู้เขียนกลายเป็นผู้ลี้ภัยมา ก็มีแรงกดดันส่งไปยังธุรกิจที่ภรรยาดูแลอยู่ จนถึงขนาดที่หุ้นส่วนต้องขอถอนหุ้นเพราะไม่อยากพลอยเดือดร้อน ธุรกิจเลยต้องเลิกทั้ง ๆ ที่ลงทุนไปมาก ก็เล่าเรื่องพวกนี้ให้คุณตั้งฟังหมด
ดูจากสิ่งที่คุณตั้งทำ ดูเหมือนคงไม่มีความเห็นใจเลย
ก็ต้องขอบอกว่า การแยกกันอยู่หรือแม้แต่การหย่าร้างของสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก ยิ่งในสังคมที่คนมีเสรีภาพสูงความเท่าเทียมสูงมีการศึกษาและฐานะสูงยิ่งหย่าร้างกันง่าย เป็นแบบนี้ทั่วโลก ซึ่งมันไม่มีปัญหา ตราบใดที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงหรือเอารัดเอาเปรียบ แม้แต่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์คนใหม่ ยังเพิ่งหย่าร้างกับภรรยามาหมาด ๆ ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งนายก คนนิวซีแลนด์ก็รับทราบเรื่องนี้กันดี
ผู้เขียนเองก็แยกกันอยู่กับภรรยาแบบที่ฝรั่งเรียกกันว่า amicable seperate ซึ่งบรรดาลุงฝรั่งที่ผู้เขียนดูแลมา เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังว่าเป็นแบบนี้กันแทบทั้งนั้น ผู้เขียนเองไม่เคยนอกใจหรือใช้ความรุนแรงกับภรรยาเลย แม้แต่ครั้งเดียว ลุงคนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยช่วยดูแลต้อง amicable seperate กับภรรยาเพราะเพิ่งพบว่าตัวเองเป็นเกย์ อีกคนแยกเพราะเป้าหมายชีวิตช่วงท้ายไม่ตรงกัน อีกคนแยกเพราะพบว่าตัวเองชอบอยู่คนเดียวมากกว่า อีกคนแยกเพราะคู่สมรสสมองเสื่อมรุนแรง ฯลฯ
ยิ่งกว่านีั้น ตลอดเวลาที่ผู้เขียนต้องแยกกันอยู่กับภรรยามาเป็นสิบปี ผู้เขียนก็ไม่เคย “นอกใจ” ภรรยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงอื่น (หรือชายอื่น หรืออะไรอื่นทั้งสิ้น) คุณตั้งเองยังเคยชวนผู้เขียนหลายครั้งว่าไปเที่ยวสถานบริการทางเพศไหม ที่นิวเป็นเรื่องถูกกฎหมายด้วย ผู้เขียนก็ปฏิเสธทุกครั้ง
(ภรรยาคุณตั้งตอนที่ยังนับถือผู้เขียนอยู่ได้เล่าให้ฟังว่า คุณตั้งบังคับเธออย่างไร ผู้เขียนก็ขออนุญาตไม่เล่าแล้วกัน)
….
ปัจจุบัน (ถึงต้น 2023)
นี่เป็นตอนสุดท้าย ขอตอบคำถามที่ถามว่า “แล้วสถานการณ์ปัจจุบันของอาจารย์เป็นอย่างไร?”
ก็ขอเล่าสั้น ๆ ว่า พอออกจากบ้านคุณตั้งมาแล้ว ก็พยายามสู้ไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปขอแบ่งเช่าห้องที่บ้านฝรั่งคนหนึ่งอยู่ เขาเป็นคนแก่อายุแปดสิบกว่า เล่าสถานการณ์ให้เขาฟัง เขาก็ใจดี ไม่คิดค่าห้องแพง แถมช่วยเรื่องอาหารเรื่องต่าง ๆ ด้วย แล้วเราก็ไปหางานทำ รับจ๊อบอะไรที่พอทำได้ แล้วก็ไปเป็นอาสาสมัครให้องค์กรการกุศลต่าง ๆ ช่วยเหลือคนแก่ ช่วยผู้ลี้ภัยจากสารพัดประเทศ ฯลฯ ไปแสดงดนตรี จนเขามาถ่ายไปออกทีวีสองหน ไปเป็นวิทยากร
นอกจากนี้ก็ได้ไปทำงานวิจัย โดยเฉพาะได้ช่วยทำงานวิจัยชิ้นใหญ่ชิ้นนึงให้กับท่านสังฆราชของศาสนจักรแองกลิกันแห่งนิวซีแลนด์ ซึ่งศาสนจักรแองกลิกันถือว่าเป็นแม่แบบของศาสนาประจำชาติของอังกฤษ ที่เป็นโครงสร้างต้นแบบให้ศาสนาพุทธในประเทศไทย ทำงานไปอย่างสนุกตื่นเต้นมาก ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายแบบคาดไม่ถึง คุ้มเกินคุ้ม ให้ทำฟรียังเอา แถมเขายังออกทุนให้เดินทางไปทั่ว ให้สิทธิไปดูงานและสัมภาษณ์ได้ทุกคน ก็เลยพลอยได้ทำงานไปเที่ยวไปทั่วประเทศอย่างไม่คาดฝัน ทั้งเกาะเหนือเกาะใต้ ไปจนแม้แต่คนนิวทั่วไปยังบอกอิจฉา ไม่เคยได้ไปทั่วแถมไปฟรีแบบนี้
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาวิจัยในเรื่องที่ตัวเองชอบเป็นการส่วนตัวหลายเรื่อง ได้ไปอยู่บ้านคนชราที่เป็นเกย์ บ้านคนชราที่เป็นเลสเบี้ยน บ้านคนชราที่เตรียมตัวเสียชีวิต ไปอยู่กับคนไร้บ้าน ฯลฯ
นอกจากนี้ก็ยังเข้ากลุ่มศึกษาประวัติศาสตร์ การเมือง และศาสนา ในนิวซีแลนด์ และเรื่องประวัติศาสตร์การเป็นอาณานิคมและชนพื้นเมือง ในเชิงศาสนวิทยา กลุ่มคนที่เชื่อฝังหัวเรื่องทฤษฎีสมคบคิด ฯลฯ
แล้วจู่ ๆ ไม่ทราบอะไรเกิดขึ้น หลังจากช่วยดูแลลุงฝรั่งชาวนิวซีแลนด์คนนึงมาระยะหนึ่ง (ผู้เขียนช่วยดูแลมาหลายลุง) คนอายุแปดสิบกว่า ตัวอ้วนใหญ่มากน้ำหนัก 99 กก. เข่าเสียทั้งสองข้าง ต้องผ่าตัดเข่า แต่หมอไม่อยากผ่า กลับคนแก่สู้ไม่ไหว ตายขณะผ่าตัด เราก็ช่วยดูแลทุกอย่าง จัดโปรแกรมปรับพฤติกรรม ให้คำปรึกษา ปรากฎว่า เขาสามารถลดน้ำหนักจาก 99 เหลือ 88 กก.ในห้าเดือน ก็ดีใจใหญ่ ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
จากนั้น ลุงฝรั่งขอให้เราเป็นสมาชิกครอบครัวของเขา ให้อยู่บ้านเขา เป็นบ้านใหญ่กลางใจเมือง ย่านที่แพงที่สุดของเมือง เป็นบ้านสวนมีผลไม้สารพัด ก็เก็บกินเอาจากต้นทุกวันไปทั้งปี ทั้งแอปเปิ้ล แพร์ พลับ องุ่น ฟรีโจว่า ฯลฯ
ครอบครัวเขามีลูกหลายคน โต ๆ เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว วัยพอ ๆ กับผู้เขียน คนนึงเป็นบรรณาธิการสำนักข่าวใหญ่ที่โอ๊คแลนด์ อีกคนเป็นวาทยากรวงออเคสตร้า อีกคนเป็นรองผู้กำกับสำนักงานตำรวจเขต อีกคนเป็นนายตำรวจสืบสวนดูแลฝ่ายกิจการเด็กและเยาวชน ทั้งครอบครัวยอมรับเราเข้าเป็นสมาชิกครอบครัวหมดเลย นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายมามีครอบครัวที่นิวซีแลนด์ แถมเป็นฝรั่งเชื้อสายอังกฤษจ๋ากันทั้งบ้าน
แล้วลุงเป็นอะไร ลุงเป็นเอ่อ อดีตนักธุรกิจสายดนตรี และเป็นเจ้าของสถานีวิทยุเพลงคลาสสิค ที่ได้รับรางวัลจากควีนเอลิซาเบธ เป็นโคตรกูรูเพลงคลาสสิค เป็นนักสะสมเพลงคลาสสิกจากทั่วโลกเป็นหมื่นแผ่น (ดีวีดีบลูเรย์และไวนิล) แล้วยังเป็นอดีตนักขี่จักรยานที่ขี่เที่ยวประเทศอังกฤษสุดขอบเหนือใต้
ลุงเขาเลยขอให้ผู้เขียนเป็นผู้ช่วยดูแลสถานีวิทยุไปด้วย เลยต้องฟัง (และทนฟัง) เพลงคลาสสิคทั้งวันทั้งคืน ดูแลด้านเทคนิค แล้วยังต้องมีคลาสแนะนำเพลงคลาสสิกให้บรรดาคนทั่วไปที่สนใจ แล้วเนื่องจากผู้เขียนเป็นนักดูภาพยนต์ นักวิจารณ์ภาพยนต์ด้วย พอจะรู้เรื่องหนังเยอะพอสมควร ก็เลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แนะนำหนังที่น่าสนใจให้บรรดาผู้สนใจไปอีกหนึ่งหน้าที่ ทีนี้ก็เลยยิ่งต้อง(ทน)ดูหนังในห้องสมุดหนังอีกมากมาย ที่สถานีก็เลยกลายเป็นทั้งบ้านพัก สถานีวิทยุ แล้วก็ห้องฉายภาพยนต์ไปด้วย
ต่อมา จู่ ๆ ลุงก็ไปซื้อเปียโนตัวใหม่ให้ พูดไม่ออกเลย
แล้วต่อมา จู่ ๆ ลุงก็พาไปซื้อรถเก๋งให้ โอนเป็นชื่อผู้เขียนเสร็จ จ่ายค่าโอน จ่ายภาษี จ่ายค่าประกันให้ ดันเป็นทรงและสีแบบรถแท็กซี่ของอังกฤษ ซึ่งผู้เขียนชื่นชอบมานาน พูดไม่ออกอีกเหมือนกัน อ้อ จ่ายค่าน้ำมันให้ด้วย
ก็ถามลุงว่าให้ทำไม "อยากให้เป็นสิ่งที่บอกว่า ขอบคุณ" ลุงบอก
เคยถามลุงว่า อยากให้อยู่ที่นี่ด้วยถึงเมื่อไหร่ “จนกว่าเขาตาย” ลุงบอก
ถามต่อ “แล้วตายแล้ว ยังไงต่อ” เขาบอก ก็ขอให้อยู่ช่วยดูแลสถานีต่อไป ดูแลห้องสมุดเพลงคลาสสิกและหนังต่อไป ดูแลบ้านสวนต่อไป ดูแลแมวต่อไป
ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นยังไง
แต่ขอยืนยัน…ลุงไม่ได้เป็นเกย์
...
อีกเรื่องที่อดแทรกไม่ได้ คือ ไม่ทราบอะไรเกิดขึ้น ตอนมาจากเมืองไทย มีโรคประจำตัวเรื้อรังอยู่สามโรค คือแพ้อากาศ จามตลอดเวลา สองคือ โรคบ้านหมุน ขนาดนอนเฉย ๆ ยังรู้สึกว่าบ้านหมุนติ้ว เวียนหัวอาเจียน สามคือเป็น ริดสีดวงทวาร เป็นเรื้อรัง ถ่ายทีไรมีเลือดออก ตอนนี้จู่ มันหายไปหมดเลย แถมน้ำหนักลด กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เกิดมามีซิกแพคเอาตอนแก่นี่เอง แต่ตอนนี้หัวล้านแล้ว
...
ขอแทรกอีกเรื่อง เรื่องเดียวจริง ๆ คือเรื่องที่คุณตำรวจลับที่ว่าคอยปกป้องผู้ลี้ภัยและแชทมาบอกว่า บัญชีที่ไทยของผู้เขียนกำลังจะถูกทางการยึด ปรากฎว่า จนถึงบัดนี้ผ่านมาหลายปี บัญชีก็ยังใช้ได้เป็นปกติทุกบัญชี ใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ ธนาคารไทยบริการดีมาก ทันสมัยกว่าธนาคารต่างประเทศเสียอีก
…
ส่งท้าย
ที่เขียนเล่ามาทั้งหมดนี้คือ “คำขออภัยของผู้ลี้ภัย (คนหนึ่ง)” ซึ่งเป็นการเล่าเหตุการณ์แบบคร่าว ๆ เขียนรวดเดียวแบบเร็ว ๆ และไม่ได้ใส่ข้อคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม แต่ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ ซึ่งถ้าใครจะให้กลับไปยืนยันถ้อยคำเหล่านี้ที่ศาลไทย ก็ยินดีจะกลับไปให้การ แค่ต้องรอรัฐบาลที่นี่อนุมัติก่อน ซึ่งคงไม่นาน
และผู้อ่านทุกท่านคงพอเดาออกว่า จะเกิดอะไรกับผู้เขียนหลังจากนี้ ก็ทำใจแล้ว ใครจะหมิ่นจะบูลลี่อะไรก็คงไม่ไปต่อสู้หรือฟ้องหมิ่นฯ หรืออะไรท่าน ฟ้องข้ามประเทศก็ทำไม่ได้ ไม่มีปัญญา หรือจะฟ้องหมิ่นในนิวก็ไม่มีประโยชน์อีกเช่นกัน ก็คงอยู่เงียบ ๆ แบบคนแก่เกษียณกับต้นไม้และเพลงคลาสสิกไป
ด้วยความจริงใจ เหมือนสมัยก่อน
ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
นักศาสนวิทยาคนเดิมและผู้ลี้ภัยคนล่าสุด
.
(ภาพของหลานคนใหม่ อยู่นิวซีแลนด์จนกลายเป็นลุงของหลานฝรั่งสองคนแล้ว)
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2562
จิตอาสา?
จิตอาสา ที่ในภาษาอังกฤษเรียก community services หรือ volunteer service มีทั่วโลกและมีมานานแล้ว มันคือการที่คนเราอยากทำอะไรเพื่อสังคมโดยไม่ได้ทำเพราะกฎหมายบังคับหรือเพื่อผลประโยชน์ทางอาชีพหรือรายได้ หรือเพื่อเลี่ยงภาษีหรือลดภาษี ส่วนจะทำเพราะหวังผลประโยชน์แฝงในด้านที่ได้สนุกด้วย ได้เพื่อนได้แฟนด้วย ได้ชื่อเสียงได้สร้างภาพด้วย หรือได้บำบัดจิตใจด้วย อันนั้นไม่นับเป็นผลประโยชน์โดยตรง
และจะทำคนเดียวลำพังหรือจะรวมกลุ่มทำก็ได้
การที่จิตอาสาถูกรวมเข้ามาอยู่ในระบบราชการหรือหน่วยงาน ใส่เป็นหน้าที่งาน และเอาการเข้าร่วมมาพิจารณาเพื่อให้คุณให้โทษในงานด้วย แบบนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นจิตอาสาแท้
แต่จิตอาสาจะเลวร้ายที่สุดเมื่อเอามาใช้เป็นเครื่องมือในระบอบการปกครองที่ไม่เป็นธรรม สาเหตุก็เพราะ มันเป็นการพยายามเอาความดีมาสร้างภาพให้แก่การปกครองที่ไม่เป็นธรรม
คล้ายกับการเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการปกครองที่ไม่เป็นธรรม
และในที่สุดก็จะแอบอ้างว่า เห็นไหมการปกครองนี้เพราะมีการเป็นจิตอาสาทำความดี หรือเห็นไหมกาปกครองนี้ดีเพราะสนับสนุนศาสนาหรือเคร่งศาสนา(แต่เปลือก)
แล้วสุดท้ายก็จะอ้างต่อว่า ถ้าใครไม่สนับสนุนการปกครองนี้ก็เท่ากับไม่มีจิตอาสา หรือไม่มีความดี และก็กลายเป็นไม่ใช่คนดี
สุดท้ายก็จะสรุปว่าใครที่ไม่สนับสนุนการปกครองแบบนี้คือ…คนชั่ว …ที่สมควรถูกกำจัด
ਗ਼মᒏర౬ ഽరๅݎ᪒নਭலᣅᢅᡇ
ผู้พิพากษายิงตัวตายเพื่อสร้างประเด็นการเมืองรึ?
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
สถาบันกษัตริย์ทั่วโลกในยุคปัจจุบัน
มีคนขอให้อธิบายว่า ประชาชนควรเข้าใจเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างถูกต้องอย่างไร? ผู้เขียนก็ขอสรุปสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ โดยพูดถึงสถาบันกษัตริย์ทั่วโลกในยุคปัจจุบัน ดังนี้
การมีกษัตริย์ในโลกปัจจุบันคงเหลืออยู่ 26 ราชวงศ์หรือตระกูล แต่ปกครองใน 43 ประเทศ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกษัตริย์บางประเทศมีอำนาจเหนือหลายประเทศ คือกษัตริย์อังกฤษที่ถูกถือเป็นกษัตริย์ในทุกประเทศในเครือจักรภพอังกฤษด้วยโดยปริยาย
ประเทศที่ยังมีกษัตริย์ |
กษัตริย์ที่ว่านี้ถูกเรียกในหลายชื่อ เช่น กษัตริย์ หรือราชินี พระราชาธิบดี สุลตาน หรือแม้แต่พระสันตปาปา
ประเทศที่มีกษัตริย์เหล่านี้ไม่ได้มีระบอบการปกครองเหมือนกัน และบทบาทการเป็นกษัตริย์ก็ไม่เหมือนกัน แบ่งได้เป็น 4 แบบ ได้แก่
1. กษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราช เช่นซาอุดีอาระเบีย บรูไน และประเทศอิสลาม ประเทศเหล่านี้กษัตริย์เป็นผู้บริหารโดยตรง หรือบางทีตวบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย (นอกจากนี้อาจถือรวมกรณีของสมเด็จพระสันตปาปาแห่งรัฐวาติกันด้วย แต่มีเงื่อนไขพิเศษ)
2. กษัตริย์แบบที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เช่น อังกฤษ ไทย กษัตริย์แบบนี้ไม่มีอำนาจบริหารโดยตรง แต่ยังมีอำนาจบางส่วน เช่นการอนุมัติหรือยับยั้งกฎหมายที่สภาฯเสนอมา (อย่างไรก็ตามก็มีการวิจารณ์ว่ากรณีของไทยมีลักษณะแฝงแบบแรก)
3. กษัตริย์แบบสัญลักษณ์และพิธีการ เช่น กษัตริย์ในประเทศยุโรป ไม่มีอำนาจในการบริหารเลย เป็นเพียงสัญลักษณ์ของชาติและเป็นประธานในการทำพิธีต่างๆ ทางสังคมเท่านั้น
4. กษัตริย์แบบเครือจักรภพ คือ ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ อันได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอื่น ๆ กษัตริย์แบบนี้ก็เป็นแบบที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญด้วย
5. กษัตริย์แบบหมุนเวียนในสหพันธรัฐ เช่น สุลตานแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย เป็นการหมุนเวียนกันเป็นในหมู่รัฐต่างๆ ในประเทศ วาระคราวละ 5 ปี และอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
6. กษัตริย์ใต้อำนาจผู้นำเผด็จการ เช่น กษัตริย์กัมพูชา
เรื่องของสถาบันกษัตริย์ มีประเด็นที่มีการถกหรือโต้แย้งกันในแต่ละประเทศอยู่หลายประเด็น ขอแยกให้เห็นดังต่อไปนี้
1. ประเทศยังควรมีสถาบันกษัตริย์หรือไม่? หรือถ้าควรยังมีอยู่ สถาบันกษัตริย์ควรมีสิทธิอำนาจและบทบาทเพียงใด ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และภาคปฎิบัติ? และตรวจสอบได้อย่างไร?
2. สถาบันกษัตริย์ควรมีทรัพย์สินและรายได้อย่างไร? มีการบริหารจัดการอย่างไร? ต้องเสียภาษีหรือไม่อย่างไร? ตรวจสอบได้อย่างไร?
3. สถาบันกษัตริย์ควรมีรูปแบบการปฏิสัมพันธ์กับประชาชนอย่างไร? การพูดกันการวางตัวต่อกันควรมีรูปแบบอย่างไร? การใช้คำราชาศัพท์และการแสดงความเคารพต่อกันที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร? มีฐานะเป็นสมมติเทพหรือเป็นมนุษย์เท่ากัน?
4. สถาบันกษัตริย์ควรมีการคัดเลือกผู้รับตำแหน่งอย่างไร การสืบทอดอย่างไร มีกฎระเบียบหรือเงื่อนไขคุณสมบัติที่ทำให้พ้นสภาพอย่างไร?
5. สถาบันกษัตริย์ควรมีการจัดระเบียบแห่งสิทธิอำนาจและเกียรติศักดิ์ภายในราชวงศ์อย่างไร? จัดระดับชั้นอย่างไร? ระดับชั้นอันนี้เกี่ยวพันกับสังคมอย่างไร? สังคมต้องปฏิบัติต่อลำดับชั้นต่างๆ อย่างไร?
6. สถาบันกษัตริย์ควรต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่? ต้องถูกบังคับให้นับถือศาสนาใดหรือไม่? ต้องมีตำแหน่งเป็นผู้นำศาสนาหรือสนับสนุนศาสนาใดหรือไม่ อย่างไร?
7. สถาบันกษัตริย์ควรมีกฎหมายคุ้มครองอย่างไร? มีกฎหมายห้ามหมิ่นประมาท แต่ถูกวิจารณ์ได้หรือไม่?
ขอตอบแบบสรุปดังนี้
ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561
3 คำถามต้องระวังในทางศาสนวิทยา
เมื่อความเชื่อ ความศรัทธา ถูกสั่นคลอนในโลกภาพยนตร์
เมื่อความเชื่อ ความศรัทธา ถูกสั่นคลอนในโลกภาพยนตร์
The Man From Earth คือภาพยนตร์ที่เรากำลังจะพูดถึง ซึ่งความแยบคายในการถ่ายทอดเรื่องราวของภาพยนตร์จากปี 2009 เรื่องนี้ เป็นที่พูดถึงมากทีเดียวสำหรับคอหนังนอกกระแส โดยเรื่องนี้ใช้การถ่ายทำเพียงแค่ในห้องนั่งเล่น และมีออกมาที่หน้าบ้านในบางครั้ง รวมแล้วมีแค่ 2 ที่เท่านั้น
เรื่องราวของ The Man From Earth เริ่มจากจอห์น โอลด์แมน ชายผู้หนึ่งกำลังจะขนของย้ายถิ่นอาศัย หลังจากที่เขาอยู่ในที่แห่งนี้มานานราว 10 ปี ซึ่งก็มีเพื่อน ๆ 6-7 คน เข้ามาเยี่ยมเยียนที่บ้านเพื่อจะกล่าวคำลา แน่นอนว่าเมื่อมีคนเข้ามารวมกันแบบนี้ ก็ต้องมีเรื่องให้สนทนากัน แม้ว่าแต่ละคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญในศาสนา แต่บทสนทนาที่เปิดขึ้นมาจากปากของจอห์นว่า เขามีชีวิตอยู่มานานกว่า 10,000 ปีแล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกฉงนขึ้นมาในทันที ทำไมจอห์นเลือกที่จะพูดเรื่องนี้
ในช่วงแรกดูเหมือนจะเป็นการพูดคุยสัพเพเหระ ไม่มีใครจริงจังกับประเด็นนี้นัก ไม่มีใครเล่น <a href=“https://scr888.gclub-casino.com/">918kiss</a> ทุกคนผลัดกันวนถามคำถามแก่จอห์น ซึ่งจอห์นเองก็ตอบไปเรื่อย ๆ ในแบบที่ไม่มีใครสามารถหักล้างคำตอบนั้นได้เลย เขาเล่าตั้งแต่สมัยที่ยังคงเป็นมนุษย์ถ้ำอยู่ในดินแดนที่เชื่อว่าเป็นทวีปยุโรปในปัจจุบัน เร่ร่อนหลบภัยหนาวไปทางตะวันออกเรื่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนถิ่นฐานอยู่ตลอดทุกทศวรรษ จนกระทั่งล่วงเข้ามายังดินแดนในแถบทวีปเอเชีย ผ่านตะวันออกกลาง และเข้ามาถึงอินเดีย ซึ่งที่นั่น จอห์นเล่าว่าเขาได้พบกับพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธได้สอนหลายสิ่งให้แก่จอห์น ซึ่งตัวเขาได้นำเอาหลักคำสอนเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต เขาร่วมเดินทางไปกับพระพุทธเจ้าอยู่พักหนึ่ง โดยที่พระองค์ท่านมิได้พูดถึงความพิเศษที่จอห์นมีอยู่ หลังจากนั้นจอห์นก็ได้จากลาแดนชมพูทวีป แล้วเดินทางย้อนกลับไปทางตะวันตก เขาเล่าว่าได้เผยแพร่ถึงคำสอนจากพระพุทธเจ้าที่ตัวเขาเองเลือกหยิบบางข้อมาใช้ และบางข้อก็ได้ประยุกต์แล้ว เขาเผยแพร่คำสอนผู้คนมาตลอดทาง โดยที่เขาค่อย ๆ ย้ายถิ่นที่อยู่ไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเขาได้เดินทางกลับมายังแผ่นดินยุโรปอีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะมีผู้คนบางกลุ่มที่ไม่พอใจ ส่งผลให้เขาถูกตรึงกางเขน
ถึงตอนนี้หลายคนคงพอจะฉุกคิดขึ้นมาแล้วว่าจอห์นเป็นใคร ใช่คนที่คิดไว้หรือเปล่า เพื่อน ๆ ของจอห์นที่นั่งล้อมวงฟังกันก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน มีการถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น อย่างรอยแผลการตอกตะปูตรึงกางเขน แต่จอห์นตอบว่าเป็นแค่เชือกมัด แต่มีการนำไปแต่งเติมในภายหลังให้ดูขลังขึ้น มีการถามถึงการเทศนาบนภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งจอห์นก็ตอบไปตามตรง
และเมื่อเล่าถึงตอนนี้มันไม่มีอะไรปกติแล้ว เพราะถ้าความจริงคือพระเจ้าเป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษ หลาย ๆ สิ่งถูกเติมแต่งให้เหนือจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเชื่อ ความศรัทธาที่ตัวเรามีต่อองค์ศาสดาและคำสอนในศาสนา ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ The Man From Earth ทำให้เรารู้สึกถึงความชอบกลในเรื่องราว และทำให้ความเชื่อของเราที่เคยมีสั่นคลอน
อย่างน้อยก็หลายวันทีเดียวหลังจากที่ผ่านจุดสิ้นสุดของภาพยนตร์