อโยธยาเจริญมานานก่อนที่จะถูกสร้างใหม่จนกลายเป็นกรุงศรีอยุธยา โดยพระเจ้าอู่ทอง ที่ทรงย้ายเมืองมาที่อโยธยาและก่อสร้างเมืองขึ้นใหม่ โดยส่งคณะช่างก่อสร้างไปยังอินเดียและได้ลอกเลียนแบบผังเมืองอโยธยา ที่อินเดีย มาสร้างและสถาปนาให้มีชื่อว่า "กรุงศรีอยุธยา"
ชื่อเต็มของกรุงศรีอยุธยาที่พระเจ้าอู่ทองตั้งชื่อใหม่จากชื่อเดิมอโยธยาคือ "กรุงเทพทวารดีศรีอยุธยา" เพื่อยืนยันรากเหง้าความเป็นมาจากรัฐทวารวดี แต่ภายหลังมักเรียกว่า กรุงศรีอยุธยา ซึ่งแปลว่า นครที่ไม่อาจทำลายได้
กรุงศรีอยุธยาเป็นคนละอาณาจักรกับสุโขทัย (เหมือนเป็นคนละประเทศ) เป็นศัตรูของสุโขทัย และมายึดกรุงสุโขทัย และสุโขทัยกลายเป็นหัวเมืองของกรุงศรีอยุธยา แต่กระนั้นก็ยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันมาตลอด
กรุงศรีอยุธยาได้สร้างระบบไพร่ขึ้นมา ซึ่งระบบไพร่อันนี้เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัยสุโขทัย โดยกำหนดให้ชายทุกคนที่สูงตั้งแต่ 1.25 เมตรขึ้นไปต้องลงทะเบียนไพร่ ระบบไพร่มีความสำคัญต่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ และยังเป็นการเกณฑ์แรงงานเพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของอาณาจักร ไพร่ที่อยากจะพ้นจากความทุกข์จากการเกณฑ์แรงงานต้องบวชเป็นพระสงฆ์
พระสงฆ์ในสมัยอยุธยา เป็นสถาบันที่มีลักษณะพิเศษกว่าบุคคลอื่นในสังคมไทยสมัยนั้น พระสงฆ์เป็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่าสามัญชนไม่ว่าในตำแหน่งฐานะใด หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไหว้ เมื่อได้บวชในพระศาสนาแล้ว ฐานะจะเปลี่ยนไปทันที แม้บิดา มารดาก็ต้องกราบไหว้
สถาบันพระสงฆ์ยังเป็นที่พึ่งพิงของคนทุกชั้นในสังคม ทั้งทางจิตใจและพิธีกรรมทุกๆอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย เทศนาสั่งสอนอบรมศีลธรรมจรรยาและทางดำเนินชีวิต ตลอดจนเป็นแหล่งถ่ายทอดศิลปวิทยาการความรู้แขนงต่างๆ
ผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์มาจากคนทุกระดับชั้นในสังคม แต่ส่วนใหญ่มาจากสังคมไพร่ เพราะพระสงฆ์ได้รับการยกเว้นจากทางราชการไม่ต้องเกณฑ์แรงงานหรือเข้าเวรทำงานให้มูลนายตลอดเวลาที่อุปสมบทอยู่
นอกจากนี้วัดต่างๆมีที่ดินไร่นาซึ่งมีผู้ถวายไว้ เรียกว่า ที่ดินกัลปนาและมีข้าพระคอยทำงานบนที่ดินของสงฆ์ให้เกิดประโยชน์ ผลประโยชน์บนที่ดินกัลปนานั้น วัดไม่ต้องเสียภาษี วัดต่าง ๆ จึงมั่งคั่งร่ำรวย
ความสำคัญของพระภิกษุสงฆ์และสถาบันสงฆ์ดังกล่าว ทำให้ทางฝ่ายบ้านเมืองต้องเข้ามากำกับดูแลและปกป้อง กล่าวคือ กษัตริย์ทรงให้พระราชอำนาจผ่านเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำการดูแลกิจการสงฆ์ในการบังคับให้ภิกษุอลัชชีที่ทำให้พระศาสนามัวหมอง ให้สึกจากสงฆ์ และลงพระราชอาญาแก่บุคคลเหล่านั้น
ในสมัยสุโขทัยกษัตริย์ทรงแต่งตั้งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ให้ดำรงสมณศักดิ์เป็น ปู่ครู มหาเถร และสังฆราช แต่่่่พอมาสมัยอยุธยา กษัตริย์มีการจัดการปกครองคณะสงฆ์ โดยทรงตั้งพระภิกษุสงฆ์ให้มียศตำแหน่งราชทินนามและศักดินาเช่นเดียวกับตำแหน่งขุนนางข้าราชการในระบบอยุธยา
ศาสนาพุทธสมัยอยุธยา มีทั้งนิกายมหายาน และเถรวาท และแบบผสม และยังมีเถรวาทที่เป็นแบบลังกาวงศ์ โดยว่ากันว่ายุคนั้นผู้คนจะเน้นการทำบุญกุศลและการสร้างวัดวาอาราม ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ (ซึ่งมีอย่างมากมายทั่วกรุง) การฉลองทางศาสนา ศาสนพิธี การบำรุงพระสงฆ์ การบำเพ็ญจิตภาวนาก็เน้นไปทางอิทธิฤทธิ์เสียมาก
สังคมศาสนาของกรุงศรีอยุธยา มีการผสมผสานของการถือผี พุทธ และพราหมณ์ ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน กษัตริย์อยุธยาเองก็มีพระนามว่า "พระนารายณ์" ซึ่งเป็นชื่อเทพของศาสนาพราหมณ์ถึงสองพระองค์ คือยุคก่อนมาตั้งกรุงศรีอยุธยา และยุคหลังตั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว และราชสำนักก็ดำเนินการทุกด้านใช้แนวคิดและพิธีกรรมของศาสนาพราหณ์ผสมพุทธอย่างมาก โดยเฉพาะสถานภาพของกษัตรย์ที่มีความเป็นสมมติเทพและเป็นพระโพธิสัตว์อวตาร
ช่วงเวลา 417 ปีของกรุงศรีอยุธยาที่ปกครองด้วยระบอบ "กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชแบบศักดินา" หรือ feudal absulute monarchy ผ่าน 5 ราชวงศ์ มีการแก่งแย่งชิงซึ่งอำนาจแห่งราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์มีมากกว่า 24 ครั้ง และถูกพม่าเข้ายึดครองสองครั้งก่อนล่มสลายในที่สุด
ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น