วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ศาสนากับจิตวิทยาฝูงชน

จิตวิทยาฝูงชน (Mob Psychology) เป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายพฤติกรรมของคนที่อยู่ในฝูงชน ตามพื้นฐานของจิตวิทยาฝูงชน เป็นคำที่คล้ายกับคำว่าจิตวิทยากลุ่มคน จิตวิทยามวลชน และจิตวิทยากลุ่ม

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ฝูงชนมีได้หลายแบบ และแต่ละแบบมีลักษณะพิเศษและมีอิทธิพลทางจิตวิทยาแตกต่างกัน ดังนี้
1 กลุ่มคน (Crowd)  

เป็นการรวมตัวกันของคนหมู่หนึ่งโดยมีเหตุทางอารมณ์ หรืออาจมีเรื่องผลประโยชน์ร่วมด้วย โดยเป็นไปเพื่อสนองตอบความต้องการส่วนตนแต่ก็สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มด้วย ซึ่งมักจะเป็นความต้องการร่วมในระดับที่ 4-5 ตามทฤษฏีของมาสโลว์ เช่น ความมั่นคง ความปลอดภัย ความยุติธรรม ความเสมอภาค โดยมีอารมณ์พื้นฐานหลัก คือ ความกลัว ความปิติยินดีและความโกรธเป็นอารมณ์ของคนในการเข้าร่วม ซึ่งจะแสดงออกในลักษณะของการตื่นตระหนกจากความกลัว การเริงร่าจากความปิติยินดี และการทำลายล้างจากความโกรธ อย่างไรก็ตาม อารมณ์ในด้านลบ คือ ความกลัวและความโกรธจะเป็นอารมณ์พื้นฐานของกลุ่มที่นำไปสู่ความรุนแรง การแสดงออกของคนในกลุ่มจะมีแนวโน้มถดถอยจากเหตุผลและเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆ ในท้ายที่สุดเมื่อเข้าถึงจุดดังกล่าว

2. สาธารณะ (Public) 

คือการที่ฝูงชนมีการรวมกลุ่มอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ โดยบุคคลในกลุ่มนั้นมีระดับของการเข้าร่วมที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่จะมีอารมณ์และความต้องการร่วมอย่างเดียวกัน ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวจะเป็นตัวชี้วัดศักยภาพของฝูงชนและนำไปสู่การกำหนดทิศทางของกลุ่มต่อไป

3. มวลชน (Mass) 

เป็นการที่มีกลุ่มคนและการแสดงออกในลักษณะสาธารณะ ตลอดจนมีการสื่อสารและกระจายข้อเรียกร้องออกไป หลังจากนั้นจึงจะเกิดลักษณะของมวลชน หรือจะเรียกว่า "กระแส" ก็ได้ รูปแบบของการสื่อสารระหว่างกันและการกระจายข่าวสารจะเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาและเพิ่มขนาดของมวลชน อย่างไรก็ตาม เมื่อฝูงชนก้าวเข้าสู่ลักษณะของมวลชนนั้นข้อเรียกร้องร่วมของมวลชนจะมีลักษณะเชิงอุดมคติมากกว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่จริง
4. การเคลื่อนไหวทางสังคม (Social movement) 

เมื่อมีการรวมกลุ่มในที่สาธารณะและมีการจัดตั้งมวลชนโดยอาศัยสื่อต่าง ๆ การเคลื่อนไหวทางสังคมก็จะตามมาในท้ายที่สุด โดยการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้นอาจจะเป็นในรูปของการสร้างสรรอย่างสงบสันติเพื่อดำรงข้อเรียกร้องไว้อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งสถาบันทางสังคมหรือการเมืองต่าง ๆ หรือนำไปสู่การเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองหรือการปฏิวัติโครงสร้างของสังคม

5. ฝูงชนเครือข่ายเทคโนโลยี (Smart mobs หรือ Cyber mobs) 

ปัจจุบันนี้ ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอเน็ต ทำให้เกิดฝูงชนในแบบที่เพิ่มจากเดิม คือลักษณะที่เป็นการสื่อสารแบบผ่านทางเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ แม้ไม่ได้มาอยู่ที่เดียวกัน เช่น การสื่อสารในเครือข่ายโซเชียลสังคมหรือ Social networking เช่น Facebook Twitter ไปจนถึงเทคโนโลยีพื้นฐานที่ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ทีวี เคเบิล วิทยุ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการตระหนักร่วมและความรู้สึกร่วมแบบฝูงชนทั้งที่ผู้คนอยู่คนละที่ ไม่ได้มารวมตัวกัน สิ่งเหล่านี้ก็สามารถก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมเสมือนจริงของฝูงชน โดยที่คนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมทางกายภาพทุกครั้งแต่จะมีความรู้สึกร่วมเหมือนกำลังเข้าร่วมอยู่ในฝูงชนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว เราอาจเรียกฝูงชนลักษณะนี้ว่า ฝูงชนเสมือน (Virtual mobs) ก็ได้


การเกิดขึ้นของฝูงชนนั้นเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ และการรวมกลุ่มของฝูงชนนั้นมีทั้งลักษณะสร้างสรรและทำลายล้างซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยและเงื่อนไขอื่น ๆ รอบด้าน ตลอดจนข้อเรียกร้อง สถานการณ์และผู้นำฝูงชน

การศึกษาทางจิตวิทยาฝูงชนพบว่า เมื่อผู้คนมารวมตัวกันมากๆจนเป็นฝูงชน จะมีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ ผู้เข้าร่วมฝูงชนมีแนวโน้มที่จะสละจิตสำนึกส่วนตนและนำเอาจิตสำนึกร่วมของฝูงชนเข้ามาแทน บุคคลมีแนวโน้มจะแสดงพฤติกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างจากพฤติกรรมเดิมที่ตัวเองเป็น สมาชิกของกลุ่มมักจะแสดงออกโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรม หรือการตัดสินที่ถูกผิด แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อหรือตัวตนของ คนๆนั้น แต่เกิดจากการที่สมาชิกในฝูงชนนั้นจะเกิดการละเลย หลีกเลี่ยงการใช้จิตสำนึกของตนเอง หรือ การตัดสินอย่างมีเหตุผล สมาชิกในฝูงชนจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของตัวตนเป็นจุดมุ่งหมายของฝูงชน จะละเลยคำตำหนิ ความรับผิดชอบ การตัดสินใจที่มีต่อตนเองไป สมาชิกในฝูงชนมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมในรูปแบบที่จะไม่ทำถ้าอยู่ลำพังเพียงคนเดียว

พฤติกรรมเชิงจิตวิทยาสังคมที่ปรากฏอยู่ในฝูงชน มีหลายแบบ คือ


1. ปฏิกิริยาตามขบวนแห่ (Bandwagon effect)  คือคนเราจะโน้มเอียงที่จะเข้าข้างคนส่วนใหญ่หรือฝ่ายผู้ชนะไว้ก่อนโดยไม่ค่อยคำนึงถึงเหตุผลว่าถูกหรือไม่ หรือเดิมเคยตั้งใจไว้อย่างไร

2. สัณชาติญาณฝูง (Herd instinct)  เป็นสัณชาติญาณพื้นฐานทางธรรมชาติที่ผู้คนมักจะเชื่อในคำบอกต่อของคนอื่น ๆ ในกลุ่มอย่างปราศจากเหตุผล โดยเฉพาะเรื่องที่เกียวกับผลประโยชน์หรือความมั่นคงปลอดภัยของตนเองและข่าวนั้นมีลักษณะการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วโดยมีเนื้อหาที่รุนแรง คนก็มักจะกลัวและเชื่อไว้ก่อน


3. ความรู้สึกร่วมกับกลุ่ม (Collective effervesce)  การรวมกลุ่มกันทางสังคมในบางลักษณะ เช่น ความเชื่อด้านศาสนาหรือความศรัทธาที่มีต่อผู้นำ ผู้เข้าร่วมมักจะเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปด้วยกัน ไม่ว่าจะในความรู้สึกซาบซึ้ง ความร่าเริง ยินดีที่มีต่อสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ สัญลักษณ์หรือผู้นำ

4. ภาวะหลอนเชิงกลุ่ม (Mass hysteria)  เป็นพฤติกรรมที่เกิดร่วมกันในลักษณะของอุปาทานหมู่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งเกิดป่วยหรือมีอาการแปลกๆบางอย่าง (เช่นอาการของโรคฮิสเตอเรียที่เป็นผลมาจากภาวะเครียด) และเมื่อผู้ป่วยคนนั้นเริ่มแสดงอาการ คนอื่น ๆ รอบข้างก็เริ่มแสดงอาการด้วยเพราะเชื่อว่าตัวเองก็ประสบภาวะอย่างเดียวกัน อาการที่แสดงเช่นว่ามักได้แก่ อาการคลื่นไส้อาเจียน, อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง การชัก หรืออาการปวดศีรษะ ล้มลงไม่ได้สติ ฯลฯ หรืออาจแสดงออกในด้านความรู้สึกเจ็บปวดในจิตใจ ตื่นกลัว ก้าวร้าว และเชื่อในสิ่งที่ไม่เหตุและผลเพียงพอ มักจะเกิดจากการถูกตอกย้ำอย่างซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน โดยผู้นำกลุ่มหรือสภาพแวดล้อมตามทฤษฏีของปาพลอฟ จนนำไปสู่สภาวะหลอนเชิงกลุ่มและเชื่อกันโดยไม่มีเหตุผล เช่น รู้สึกถึงการถูกรังแก ดูถูกเหยียดหยาม การไม่ได้รับความยอมรับ ความไม่เสมอภาค การถูกคุกคามโดยอำนาจเร้นลับหรือผู้มีอำนาจ ฯลฯ ผู้เข้าร่วมจะมีความรู้สึกเจ็บปวดร้าวลึกอยู่ในจิตใจ จากนั้นจึงนำไปสู่ความคลุ้มคลั่งของฝูงชนในท้ายที่สุด


นอกจากนี้ยังต้องระวังคนที่กำลังใช้จิตวิทยาฝูงชนด้วย  วิธีที่คนที่ต้องการใช้จิตวิทยาฝูงชนกับเราคือ 

  1. มีความสามารถในการพูดที่โน้มน้าวด้วยบุคคลิกที่ขึงขัง จริงจัง หนักแน่น  แต่ไม่ได้ใช้เหตุผลเท่าที่ควร    
  2. เน้นการสื่อสารที่เร้าอารมณ์มากๆ   ทั้งการพูด  เนื้อหา  เสียง และภาพ   มีการสร้างมโนภาพที่กระทบอารมณ์ความรู้สึกอย่างแรง
  3. พยายามวางตัวว่ามีค่านิยม ทรรศนะ ความเชื่อ ศรัทธา เช่นเดียวกับเรา  หรือแม้แต่แต่งตัวแบบเดียวกับเรา  
  4. พยายามให้ทุกคนในกลุ่มมีความรู้สึกผูกพันกันเป็นกลุ่มชนพวกเดียวกัน  จนมองข้ามความเป็นปัจเจกบุคคลของตนเอง  
  5. มีลักษณะชี้นำแบบเด็ดขาดแต่ปิดกั้นความคิด   ไม่ให้ซักถามอย่างเพียงพอ   
  6. สื่อสารบ่อยๆ ซ้ำๆ  ถี่ๆ   เร็วๆ  โดยเว้นระยะให้คําพูดเข้าไปแทรกซึมในสมองของผู้รับสาร  
  7. ชักจูงโดยเน้นให้เกิดความกลัว   ทำให้เห็นว่าถ้าเชื่อฟังจะปลอดภัย ถ้าไม่เชื่อฟังจะเป็นอันตราย  
  8. สร้างการยกชูผู้นำให้เหนือคนปกติ หรือแม้แต่เหนือธรรมชาติ  

คนที่ใช้จิตวิทยาฝูงชนได้เก่งจะสามารถนำฝูงชนไปทางไหนก็ได้   แต่ไม่เพียงเท่านั้น     ยิ่งหากเขาผู้นั้นมีความสามารถในการพูดและสื่อสารด้วยแล้วก็จะยิ่งชี้นำได้อย่างเหลือเชื่อ    ดังที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เคยกล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า

"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
"If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed. "

(จากหนังสือ Adolf Hitler, Mein Kampf, "Why the second reich collapse"   การต่อสู้ของข้าพเจ้า "เหตุใดจักรวรรดิไรค์ที่ 2 จึงล่มสลาย")

ด้วยความเข้าใจในเรื่องนี้ เราควรมีการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่า สิ่งที่เราคิดหรือทำอยู่นั้น เป็นเพราะเราได้ไตร่ตรองด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้    หรือแท้จริงแล้วเราคิดหรือทำอย่างนั้นเพราะเรากำลังตกอยู่ในการครอบงำของ "จิตวิทยาฝูงชน" อยู่  โดยไม่รู้ตัว



ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์




---

บรรณานุกรม



Wikipedia

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น